Page 91 - ตามรอยพระศาสดา
P. 91
90
พระพุทธเจ้าเปลี่ยนนามสองอัครสาวกเสียใหม่ ตามนามแห่งมารดา
ว่า พระสารีบุตร กับพระโมคคัลลานะ เพื่อไม่ให้ใครนึกถึงพระอุปติสสะ
และพระโกลิตะเดิม ซึ่งบวชในส�านักปริพาชก นอกพระศาสนา
พระโมคคัลลานะบวชได้ ๗ วันไปอาศัยเจริญสมณธรรมในป่า ใกล้
บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ อ่อนใจนั่งโงกอยู่ พระพุทธเจ้าเสด็จไป
ที่นั่น ทรงแสดงอุบายส�าหรับระงับความง่วง ว่าดังนี้
“โมคคัลลานะ เมื่อท่านมีสัญญาอย่างใดอยู่ ความง่วงเข้าครอบง�า
ท่านพึงท�าใจถึงสัญญานั้นให้มาก จะท�าให้หายง่วงได้ ถ้ายังไม่หายง่วง ท่าน
ควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้ฟังได้เรียนแล้ว จะท�าให้หายง่วงได้ ถ้ายังไม่หาย
ให้ท่องธรรมที่ได้ฟังได้เรียนมาแล้ว จะท�าให้หายง่วงได้ ถ้ายังไม่หาย ให้ยอนหู
ทั้งสองข้าง ลูบตัวด้วยฝ่ามือ จะท�าให้หายง่วงได้ ถ้ายังไม่หาย ควรลุกขึ้นยืน
ลูบตาด้วยน�้า เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะท�าให้หายง่วงได้
ถ้ายังไม่หาย ท�าใจให้รู้สึกว่านี่เป็นเวลากลางวัน ท�าจิตใจให้มีแสงสว่างเถิด
จะท�าให้หายง่วงได้ ถ้ายังไม่หาย ควรเดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา ส�ารวม
อินทรีย์ ไม่ให้จิตใจไปคิดภายนอกจะหายง่วงได้ ถ้ายังไม่หาย ควรส�าเร็จ
สีหไสยาสน์ (คือนอนตะแคงขวา) มีสติท�าความหมายว่าจะลุกขึ้นไว้ในใจ
พอตื่นควรลุกขึ้นคิดไม่นอนต่อไป ควรส�าเหนียกใจอย่างนี้
อนึ่ง โมคคัลลานะควรส�าเหนียกใจว่า เราจักไม่ชูงวง (ถือตัว)
เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุชูงวงเข้าไป กิจการในสกุลนั้นมีอยู่ เขาอาจ
ไม่นึกถึงภิกษุผู้นั้นก็ได้ ภิกษุจะคิดว่า นี่ใครหนอมายุให้เราแตกจากสกุล
ดูมนุษย์พวกนี้อิดหนาระอาใจในเรา เพราะไม่ได้อะไร เธอจะมีความเก้อ
ครั้นเก้อแล้วก็คิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้วก็เกิดการไม่ส�ารวม ครั้น
ไม่ส�ารวมแล้วจิตก็ห่างจากสมาธิ
ตามรอยพระศาสดา