Page 92 - ตามรอยพระศาสดา
P. 92
91
อนึ่ง ท่านควรส�าเหนียกว่า เราจักไม่พูดค�าซึ่งเป็นเหตุเถียงกัน ถือ
ผิดต่อกัน เพราะเมื่อเถียงกันขึ้น ถือผิดต่อกันมีขึ้น จ�าต้องพูดมาก เมื่อพูด
มากก็คิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว เกิดความไม่ส�ารวม ครั้นไม่ส�ารวมแล้ว
จิตห่างจากสมาธิ
อนึ่ง เราไม่สรรเสริญความคลุกคลี ด้วยประการทั้งปวง แต่ไม่ใช่ติ
ความคลุกคลีไปเสียหมด คือ เราไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชน ทั้ง
คฤหัสถ์ ทั้งบรรพชิต แต่ว่าเราชอบคลุกคลีเสนาสนะ ที่นั่ง ที่นอน อันเงียบ
เสียงอื้ออึง ปราศจากคนเดินเข้าออก เมื่อพระพุทธเจ้าสั่งสอนอย่างนี้แล้ว
พระโมคคัลลานะทูลถามว่า “กล่าวโดยย่อ ข้อปฏิบัติเพียงใด ภิกษุชื่อว่า
น้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา”
พระชินศรีตอบว่า “โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยได้สดับว่าธรรม
(ลักษณะที่ทรงไว้ในรูปต่าง ๆ) ทั้งปวงไม่ควรยึดถือมั่น เธอทราบชัดด้วย
ปัญญา ก�าหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว ครั้นเธอได้เสวยเวทนาอย่างไร คือ สุข
ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็ตาม เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็น
ด้วยปัญญา เป็นเครื่องหน่าย เป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องสละคืนในเวทนา
ทั้งหลาย เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้ ย่อมไม่ยึดมั่นในสิ่งอะไร ๆ ในโลก เมื่อ
ไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่หวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบลง
ได้ และทราบว่าสิ้นชาตินี้แล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ต้องท�า ท�าเสร็จ
แล้ว กิจอื่นที่ต้องท�าไม่มี กล่าวโดยย่อเพียงเท่านี้ ภิกษุชื่อว่าน้อมไปในธรรม
ที่สิ้นตัณหา” พระโมคคัลลานะปฏิบัติตามโอวาทที่พระศาสดาทรงสั่งสอน
ก็ได้ส�าเร็จพระอรหันต์ในวันนั้น
ฝ่ายว่าพระสารีบุตรบวชแล้วได้กึ่งเดือน ตามเสด็จพระพุทธเจ้า
ไปอยู่ ณ ถ�้าสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์ มีปริพาชกผู้หนึ่ง
ตามรอยพระศาสดา