Page 231 - Full paper สอฉ.3-62
P. 231

รองลงมาเป็นกราไฟท์เกรด ISEM-8 และกราไฟท์เกรด ISO-63   จากทดลองอัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรดที่สึกหรอน้อยที่สุด
          ตามลำดับ ส่วนอัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรด   เมื่อให้ค่า เมื่อให้ค่ากระแสไฟฟ้าที่ 6 แอมแปร์ อิเล็กโตรด       กราไฟท์เกรด
          กระแสไฟฟ้าที่ 6, 9 และ12 แอมแปร์ อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด ISO- ISO-63  ให้อัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรดที่ต่ำสุดที่  1.69
          63  ให้อัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรดที่ต่ำสุด รองลงมาเป็นกราไฟท์ เปอร์เซ็นต์   รองลงมาเป็นกราไฟท์เกรด TTK-5 ที่ 31.12 เปอร์เซ็นต์
          เกรด TTK-5 และกราไฟท์เกรด ISEM-8 จะให้ค่าอัตราการสึกหรอ และกราไฟท์เกรด ISEM-8 จะให้ค่าอัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรด
          ของอิเล็กโตรดมากที่สุดไปในทางเดียวกัน และผลจากการทดลอง มากที่สุดที่ 68.18 เปอร์เซ็นต์ เมื่อค่ากระแสเพิ่มมากขึ้นอัตราการสึก
          ของการสปาร์คชิ้นงานด้วยการปรับกระแสที่เหมาะสมต่อค่าความ หรอก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
          หยาบผิวที่เกิดขึ้น พบว่าเมื่อให้ค่ากระแสไฟฟ้าที่ 6 แอมแปร์   8.1.3   คุณภาพผิวงานในรูปของความหยาบผิวเฉลี่ย (Ra :
          อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด ISEM-8 ให้ค่าความหยาบผิวที่ต่ำที่สุด  Roughness average)ผลการทดลองปรับค่ากระแส พบว่าระดับ
          รองลงมาเป็นกราไฟท์เกรด ISO-63 และกราไฟท์เกรด TTK-5 จะให้ กระแสที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นย่อมหมายถึงระดับความรุนแรงของการกัดเซาะ
          ค่าความหยาบผิวที่มากที่สุด ส่วนค่ากระแสไฟฟ้าที่ 9 และ12  ที่มากขึ้น (กระแสเป็นต้นกำเนิดพลังงานความร้อนในการกัดเซาะ) ซึ่ง
          แอมแปร์ อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด ISEM-8 ให้ค่าความหยาบผิวที่ต่ำ ส่งผลให้ผิวงานที่ถูกขจัดออกจะลึกลงไปในผิวงานเมื่อสิ้นสุดวัฏจักร
          ที่สูงสุด รองลงมาเป็นกราไฟท์เกรด TTK-5 และกราไฟท์เกรด ISO- การกัดเซาะจึงกลายเป็นผิวงานที่มีความหยาบผิว ซึ่งผลจากการ
          63 จะให้ค่าความหยาบผิวที่มากที่สุดตามลำดับ         ทดลองของการสปาร์คชิ้นงานด้วยการปรับกระแสที่เหมาะสมต่อค่า
                                                             ความหยาบผิวที่เกิดขึ้น พบว่าเมื่อให้ค่ากระแสไฟฟ้าที่ 6 แอมแปร์
          8.2 อภิปรายผล การวิจัย                             อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด ISEM-8 ให้ค่าความหยาบผิวที่ต่ำที่สุดที่
          การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของอิเล็กโตรดกราไฟท์ทั้ง  1.30 ไมโครเมตร รองลงมาเป็นกราไฟท์เกรด ISO-63 ที่ 1.62
          3 เกรด ได้แก่ เกรด TTK-5, ISEM-8 และISO-63 ซึ่งทำการทดลอง ไมโครเมตร และกราไฟท์เกรด TTK-5 จะให้ค่าความหยาบผิวที่มาก
          จากการปรับค่ากระแสเพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพการแปรรูป โดย ที่สุดที่ 1.81 ไมโครเมตร
          ประเมินผลจากอัตราการขจัดเนื้องาน และอัตราการสึกหรอของ      การศึกษาประสิทธิภาพวัสดุอิเล็กโตรดกราไฟท์ต่างเกรดใน
          อิเล็กโตรด ตลอดจนคุณภาพผิวงานในรูปของความหยาบผิวเฉลี่ย   การอีดีเอ็มชิ้นงานโลหะเหล็กเครื่องมืองานร้อน ค่ากระแสซึ่งใน
          ทำให้สามารถสรุปตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัยได้ดังนี้   กระบวนการกัดเซาะโลหะด้วยไฟฟ้าจัดว่าเป็นต้นกำเนิดความร้อนใน
                 8.1.1    อัตราการขจัดเนื้องาน   (MRR : Material  การสปาร์ค ซึ่งจากการทดลองพบว่า ประสิทธิภาพการแปรรูปชิ้นงาน
          Removal Rate)ผลการทดลองปรับกระแส พบว่าเมื่อกระแสเพิ่ม ในรูปของอัตราการขจัดเนื้องาน อิเล็กโตรด    กราไฟท์เกรด TTK-5
          มากขึ้นอัตราการขจัดเนื้องานจะสูงขึ้นตามเนื่องจากปริมาณกระแส ให้อัตราการขจัดเนื้องานที่สูงที่สุดที่ 7.66 ลูกบาศก์มิลลิเมตรต่อนาที
          ต่อพื้นที่หน้าตัดเพิ่มสูงขึ้นทำให้ความร้อนที่เกิดเพิ่มสูงขึ้นเป็นเหตุให้ จะเพิ่มขึ้นตามค่ากระแส อัตราการสึกหรออิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด
          การขจัดเนื้องานเกิดเป็นหลุมลึกที่มีความกว้างเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลการ ISO-63  ให้อัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรดที่ต่ำสุดที่
          ทดลองอัตราการขจัดเนื้องานสูงสุดเมื่อให้ค่ากระแสไฟฟ้าที่ 12   8.3   ข้อเสนอแนะ
          แอมแปร์ โดยผลการทดลองเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้ง 3 เกรด แต่     วัสดุที่นำมาเป็นอิเล็กโตรดควรมีคุณสมบัติด้านการนำไฟฟ้า
          เมื่อทำการเปรียบเทียบอัตราการขจัดเนื้องานแล้วพบว่า   ที่ดี เหมาะแก่การนำมาใช้งานด้านไฟฟ้า จึงจะสามารถเพิ่ม
          อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด TTK-5    ให้อัตราการขจัดเนื้องานที่สูง ประสิทธิภาพการทำงานในกระบวนการอีดีเอ็มและยังสามารถลด
          ที่สุดที่ 7.66 ลูกบาศก์มิลลิเมตรต่อนาที รองลงมาเป็นกราไฟท์เกรด  เวลาในการผลิตได้ นอกจากนี้ควรศึกษาค่าพารามิเตอร์ให้เหมาะสม
          ISEM-8 ที่ 7.62 ลูกบาศก์มิลลิเมตรต่อนาที และกราไฟท์เกรด ISO- กันระหว่างอิเล็กโตรดและชิ้นงานก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง
          63 ที่ 7.20 ลูกบาศก์มิลลิเมตรต่อนาทีตามลำดับ               จากการศึกษาประสิทธิภาพของอิเล็กโตรดแต่ละเกรดแล้ว
                    8.1.2   อัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรด  (EWR :  ผู้วิจัยจึงมีความเห็นว่าควรจะใช้อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด ISO-63 ใน
          Electrode Wear Rate)ผลการทดลองปรับกระแส พบว่าผลกระทบ การสปาร์คชิ้นงานโลหะเหล็กเครื่องมืองาน ร้อน SKD61 เนื่องจากมี
          ที่มีต่ออัตราการสึกหรอของอิเล็กโตรดนั้นจะเพิ่มขึ้นตามค่ากระแส  อัตราการขจัดเนื้องานที่สูงอยู่ในระดับหนึ่งแต่มีอัตราการสึกหรอของ
          ซึ่งมีสาเหตุมาจากอัตรากระแสต่อพื้นที่หน้าตัดที่มากทำให้เกิดเป็น อิเล็กโตรดที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับ อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรดอื่นๆ ซึ่งจะ
          พลังงานความร้อนซึ่งกัดกร่อนทั้งชิ้นงานและวัสดุอิเล็กโตรดเป็น เป็นประโยชน์ต่อการใช้งานมากที่สุดสำหรับอิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด
          สาเหตุให้อิเล็กโตรดเกิดการสึกหรอ ซึ่งผลจากการและค่า TTK-5 เป็นอิเล็กโตรดที่มีค่าขจัดเนื้องานสูงมากก็จริงแต่ก็ให้อัตรา
          กระแสไฟฟ้าที่ 12 แอมแปร์ อิเล็กโตรดกราไฟท์เกรด TTK-5    ให้ การสึกหรอสูงเช่นเดียวกัน และอิเล็กโตรดหราไฟท์เกรด ISEM-8 เป็น
          อัตราการขจัดเนื้องานที่สูงที่สุด                   อิเล็กโตรดที่ให้ค่าความหยาบผิวที่ต่ำที่สุดแต่ก็มีอัตราการสึกหรอที่สูง
                                                             จึงไม่เหมาะที่จะใช้งาน




                                                                                                              213
   226   227   228   229   230   231   232   233   234   235   236