Page 23 - 3.
P. 23
20
พลังงานน้ า เป็นรูปแหนึ่งของการสร้าก าลังโดยการอาศัยพลังงานของน้ าที่
เคลื่อนที่ ปัจจุบันนี้พลังงานน้ าส่วนมากจะถูกใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้แล้ว
พลังงานน้ ายังถูกน าไปใช้ในการชลประทานการสีข้าว การทอผ้า และใช้ในโรงเลื่อย
พลังงานของมวลน้ าที่เคลื่อนที่ได้ถูกมนุษย์น ามาใช้มานานนับศตวรรษแล้ว โดยได้มีการ
สร้างกังหันน้ า (Water Wheel) เพื่อใช้ในการงานต่างๆ ในอินเดีย และชาวโรมันก็ได้มี
การประยุกต์ใช้เพื่อใช้ในการโม่แป้งจากเมล็ดพืชต่างๆ ส่วนในจีนและตะวันออกไกลก็ได้
มีการใช้พลังงานน้ าในการวิดน้ าเพื่อการชลประทาน โดยในช่วงทศวรรษ 1830 ซึ่งเป็น
ยุคที่การสร้างคลองเฟื่องฟู ได้มีการประยุกต์เอาพลังงานน้ ามาใช้เพื่อขับเคลื่อนเรือขึ้น
และลงจากเขา โดยอาศัยรางรถไฟที่ลาดเอียง อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประยุกต์ใช้
พลังงานน้ าในยุคแรกนั้นเป็นการส่งต่อพลังงานโดยตรง (Direct Mechanical Power
Transmission) ท าให้การใช้พลังงานน้ าในยุคนั้นต้องอยู่ใกล้แหล่งพลังงาน เช่น น้ าตก
เป็นต้น
ปัจจุบันนี้ พลังงานได้ถูกใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้ากันอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก
พลังงานที่ได้จากกระแสน้ าไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง และไม่ท าให้เกิด
สารพิษอื่นๆ การใช้พลังงานน้ าเพื่อสร้างพลังงานอื่นนั้น ก็สามารถกระท าได้โดยการ
สร้างเขื่อนปิดกั้นเส้นทางไหลของกระแสน้ า ท าให้ระดับน้ าในเส้นทางที่จะไหลต่อไปมี
ระดับต่ า แล้วจัดท าให้เหนือเขื่อนไหลไปหมุนตัวกังหันน้ าซึ่งจะท าให้ได้กระแสไฟฟ้า พลัง
น้ ามีข้อดีคือเมื่อปล่อยน้ าไหลไปหมุนกังหันเมื่อใด ก็จะได้พลังงานออกมาทันที แตกต่าง
กับโรงไฟฟ้าแบบใช้เชื้อเพลิงเผาให้ได้ความร้อน ต้องใช้เวลาให้เครื่องเข้าที่ จึงจะผลิต
ไฟฟ้าได้โรงไฟฟ้าพลังน้ าจึงเหมาะส าหรับกรณีที่ต้องการไฟทันทีและเร่งด่วน จึงมักใช้ปั่น
ไฟตั้งแต่หลังเที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืนซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนและโรงงานต้องการใช้ไฟฟ้า
มากที่สุด