Page 61 - bangkok yai
P. 61

55






                       ความเกี่ยวของสัมพันธกันอยางไร” โดยถือรูปแบบและวิธีการดังกลาววาเปนการสราง ความเขาใจ
                       เกี่ยวกับปฏิสัมพันธเชิงภูมิศาสตร ภายใตสภาวะตาง ๆ ที่ทําใหเกิดลักษณะเฉพาะหรือ เกิดปรากฏการณ
                       พิเศษในพื้นที่นั้น ๆ ขึ้น และถือวาเปนปรากฏการณทางภูมิศาสตรที่เกิดขึ้น ซึ่งมีหลายลักษณะ เชน
                       ปรากฏการณทางประวัติศาสตรที่มีความเกี่ยวกับพระราชวังเดิมสมเด็จพระเจาตากสินมหาราชและวัด
                       อรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร

                                2.  การเก็บรวบรวมขอมูลดวยการออกปฏิบัติภาคสนามและสัมภาษณการออกภาคสนาม
                       คือ การสํารวจพื้นที่จริง เพื่อศึกษาหรือเก็บขอมูลตาง ๆ ตามวัตถุประสงคประโยชนของการออก
                       ภาคสนาม มีดังนี้

                                    ขอ 1  ผูศึกษาไดเห็นสภาพจริงของพื้นที่และไดศึกษาสภาพปรากฏการณตาง ๆ
                       ที่เกิดขึ้นจริง
                                    ขอ 2   ผูศึกษาไดศึกษา “เชิงเปรียบเทียบ” เพื่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู เชน ศึกษาใน
                       ปรากฏการณทางภูมิศาสตรเรื่องเดียวกัน แตในพื้นที่ตางกันหรือในพื้นที่เดียวกัน แตตางเวลากัน

                       เปนตน เพื่อนํามาวิเคราะหเปรียบเทียบใหเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยางชัดเจน การสัมภาษณ
                       เปนการเก็บขอมูลภาคสนามอีกวิธีหนึ่ง ที่เรียกวา “งานสนาม” ชวยใหการศึกษา ทางภูมิศาสตรครบ
                       สมบูรณยิ่งขึ้น มีหลักเกณฑ ดังนี้
                                    ขอ 1   ผูสัมภาษณ ตองมีความรับผิดชอบตอหนาที่ เชน บันทึกขอมูลตามความเปน

                       จริงไมตอเติมหรือบิดเบือน ตองใหเกียรติแกผูใหสัมภาษณ เพื่อใหไดรับความรวมมืออยางมากที่สุด
                                    ขอ 2   ผูใหสัมภาษณ ตองเปนบุคคลในทองถิ่นที่มีความรูตามหัวเรื่อง และใหความ
                       รวมมือในการสัมภาษณอยางแทจริง เพื่อใหไดรับประโยชนจากการสัมภาษณตามวัตถุประสงค ดังนั้น
                       จึงตองกําหนดวัน เวลา และสถานที่ใหเหมาะสมดวยเครื่องมือที่ใชในการสัมภาษณ มี 2 ลักษณะ คือ

                                    ลักษณะที่ 1  แบบสัมภาษณ เปนชุดคําถามที่ผูสัมภาษณเตรียม จะใชถาม โดยใช
                       สํานวนภาษาที่เขาใจงายไมลวงละเมิดสิทธิของผูตอบ และเก็บขอมูลคําตอบไวเปนความลับ
                                    ลักษณะที่ 2  แบบสอบถาม เปนเครื่องมือที่เก็บขอมูลที่ใหผูตอบแสดงความคิดเห็น

                       โดยการเขียน ดังนั้นจึงตองพิมพใหชัดเจน ใชภาษาที่เขาใจงาย โดยทั่วไปจะตองเลือกผูตอบจากบุคคล
                       ที่อยูในพื้นที่ตามเปาหมายและมีจํานวนผูตอบมากพอสมควร เพื่อใหไดขอมูลที่นาเชื่อถือและไม
                       คลาดเคลื่อนจากขอเท็จจริง
                                3.  นําขอมูลมาวิเคราะหและจัดหมวดหมู
                                    การวิเคราะหขอมูล เปนการศึกษารูปแบบความสัมพันธและความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น

                       ของปรากฏการณตาง ๆ ทางภูมิศาสตร ตลอดจนศึกษาแนวโนม ความสัมพันธ และความตอเนื่องของ
                       ปรากฏการณ หาความสัมพันธสอดคลองกันและลักษณะที่คลายกันระหวางพื้นที่ เปรียบเทียบกับ
                       ขอมูลจากแผนผัง กราฟ แผนภาพ ตาราง และอื่น ๆ ดวยการใชสถิติอยางงาย ๆ เพื่อใหไดคําตอบ

                       สําหรับคําถาม แผนที่ ศึกษารูปแบบและความสัมพันธทางพื้นที่ ตาราง กราฟ ศึกษาแนวโนมและ
                       ความสัมพันธระหวางประเด็นตาง ๆ เอกสาร ตําราศึกษาความหมาย อธิบาย และสังเคราะห
                       คุณลักษณะของแตละสิ่งที่สนใจ
                                เมื่อไดขอมูลแลว ก็ตองจัดการและนําเสนอออกไปดวยวิธีการตาง ๆ เพื่อใหงายตอการ

                       วิเคราะหขอมูล เพราะขอมูลที่ไดอาจจะกระจัดกระจาย และไมเพียงพอ จะตองนําขอมูลมาจําแนก
   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66