Page 16 - ดวงพิชัยสงคราม
P. 16
สมเด็จพระนเรศวรสงบทัพหลวงรออยู่จน 11 นาฬิกา เห็น
ข้าศึกตามลงมาไม่เป็นกระบวน ก็สมคะเน ทรงด�ารัสสั่งให้บอกสัญญาณ
กองทัพทั้งปวง ให้ยกออกตีข้าศึก พระองค์และพระเอกาทศรถ ยก
กองทัพหลวงเข้าโอบกองทัพหน้าข้าศึก ทัพท้าวพระยาอื่น ๆ ได้ทราบ
กระแสรับสั่งได้เร็วบ้างช้าบ้าง เนื่องจากเหตุการณ์กระทันหัน มีเวลาน้อย
มาก ท�าให้ยกไปไม่ทันเสด็จเป็นส่วนมาก คงมีแต่กองทัพพระยาสีหราช
เดโชชัย กับกองทัพเจ้าพระยามหาเสนาซึ่งเป็นปีกขวา ตามกองทัพหลวง
เข้าจู่โจมข้าศึก กองทัพหน้าของพม่าไม่คาดว่าว่าจะมีกองทัพไทยไปยอ
ทัพ ก็เสียทีแตกหนีอลหม่าน
เหตุการณ์ตอนนี้มีเรื่องบันทึกไว้ในบางแห่งว่า ขณะที่สมเด็จพระ
นเรศวรประทับรอฟังข่าวทัพหน้าอยู่นั้น ได้บังเกิดเมฆเยือกเย็น ตั้งเค้ามืด
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วกลับกลายเป็นเปิดโล่ง เห็นดวงตะวัน
สาดแสงสว่างกระจ่างตา สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ
ทรงเคลื่อนทัพตามเกล็ดนาค ซึ่งตามต�าราพิชัยสงครามได้ก�าหนดไว้ว่า
ในวันใดหัวนาคและหางนาคอยู่ทางทิศใด ต้องไปตั้งทัพทางหัวนาค แล้ว
เคลื่อนทัพไปทางหางนาค เป็นการเคลื่อนที่ตามเกล็ดนาค ไม่ให้เคลื่อนที่
ย้อนเกล็ดนาค เมื่อช้างพระที่นั่งของทั้งสองพระองค์ได้ยินเสียงฆ้อง
กลองรบ และเสียงปืนที่ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กัน ก็เกิดความคึกคะนอง
ด้วยเหตุที่ก�าลังตกมัน แล้ววิ่งถลันเข้าไปในหมู่ข้าศึก ควาญไม่สามารถ
คัดท้ายอยู่ บรรดาแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งปวงตามเสด็จไม่ทัน ผู้
ที่สามารถตามเสด็จไปด้วยได้ คงมีแต่ผู้ที่มีหน้าที่อยู่ประจ�าช้างพระที่นั่ง
คือกลางช้าง ควาญช้าง และจตุลังคบาท ที่มีหน้าที่รักษาเท้าช้าง สมเด็จ
พระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทอดพระเนตรเห็นข้าศึกมีก�าลัง
มากมาย ไม่เป็นทัพเป็นกอง จึงทรงไสช้างพระที่นั่งเข้าชนช้างข้าศึก
เหล่าข้าศึกพากันระดมยิงอาวุธมาดังห่าฝน แต่ไม่ถูกช้างทรง ทันใดนั้นก็
บังเกิดตะวันตลบมืด ท้องฟ้ามืดมิดราวกับไม่มีแสงตะวัน จนมองไม่เห็น
กัน สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงได้ประกาศแก่เทวดา พระพรหม
ทุกชั้นฟ้า ถึงปณิธานของพระองค์ที่ได้มาสืบวงศ์กษัตริย์ และมุ่งหวัง
ที่จะท�านุบ�ารุงพระบวรพุทธศาสนา ทันใดนั้นก็บังเกิดพายุใหญ่พัดปั่น
ป่วนในท้องฟ้า สนามรบก็สว่างแจ้ง พระองค์แลไปเห็นนายทัพข้าศึก นั่ง
อยู่บนหลังช้างเผือกตัวหนึ่ง มีฉัตรกั้นอยู่ใต้ร่มต้นข่อย มีพล 4 เหล่า
16 ดวงพิชัยสงคราม