Page 17 - ดวงพิชัยสงคราม
P. 17
เรียงรายอยู่มากมาย ก็ทรงตระหนักแน่พระทัยว่าเป็นพระมหาอุปราชา
ส�านวนของวันวลิต ชาวฮอลันดา ซึ่งเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยา
เมื่อปี พ.ศ. 2176 ได้บรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า พระเจ้ากรุงหงสาว
ดียกทัพอันมีก�าลังใหญ่หลวง มายังกรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรยกทัพ
มาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง เรียกว่า เครง หรือ หนองสาหร่าย เพื่อปะทะทัพ
มอญ เมื่อกองทัพทั้งสองมาประจัญกันเข้า พระนเรศวรและพระมหา
อุปราชา (ซึ่งต่างก็ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ และประทับบนพระคชาธาร)
ต่างทอดพระเนตรเห็นกันเข้า ต่างองค์ก็มีพระทัยฮึกเหิม เสด็จออกจาก
กองทัพ ขับพระคชาธารโดยปราศจากรี้พลเข้าหากัน แต่พระคชาธารที่
พระนเรศวรทรงอยู่นั้น เล็กกว่าช้างทรงพระมหาอุปราชามากนัก เมื่อ
กษัตริย์ทั้งสองพระองค์มุ่งเข้าหากัน ช้างที่เล็กกว่าก็ตกใจกลัวช้างที่
ใหญ่กว่า ถึงกับเบนหัวจะถอยกลับ พระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงตรัส
ปลอบพระยาช้างต้นให้มีใจฮึกเหิมกลับมาสู้ช้างข้าศึก และทรงพรมน�้าเทพ
มนต์ซึ่งพราหมณ์ได้ท�าถวายไว้ส�าหรับโอกาสนี้ ลงบนศีรษะช้าง พระยา
ช้างต้นผู้ชาญฉลาดเมื่อได้รับน�้าเทพมนต์ และได้ยินเสียงพระราชด�ารัส
ของวีรกษัตริย์ก็มีใจฮึกเหิม ชูงวงขึ้นประณตแล้วเบนหัวสู่ข้าศึก พลัน
วิ่งพุ่งเข้าสู่กษัตริย์มอญอย่างเมามัน อ�านาจของพระยาช้างต้นในการสู้
รบครั้งนี้ แลดูน่าสพึงกลัว และน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การกระท�า
ยุทธหัตถีของสองกษัตริย์ และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงได้ชัยชนะ
อย่างงดงาม เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศานุทิศ ข้าศึกศัตรูไม่หาญกล้ามา
เบียดเบียนราชอาณาจักรไทยอีกเลยถึง 160 ปี
สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงขับช้างพระที่นั่งตรงไปยังพระมหาอุป
ราชา แล้วร้องตรัสไปโดยฐานที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อน มีความว่า
“เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในที่ร่มไม้ทำาไม เชิญเสด็จมาทำายุทธหัตถี
กันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้า ที่จะทำายุทธหัตถีได้อย่างเรา
จะไม่มีแล้ว”
ดวงพิชัยสงคราม 17