Page 172 - คู่มือหลักสูตรการพัฒนาสื่อการเรียนดิจิทัลด้วยระบบ VR AR และ MR
P. 172
เนื้อหาโครงสร้างหลักสูตรการฝึกทักษะการพัฒนาคอนเทนต์หลักสูตรฝึกอบรมด้วย VR AR และ MR
2/3 Hz (เป็นระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้าสมัยโบราณในยุโรปซึ่งยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน) บางประเทศใช้ 50 Hz
และบางประเทศใช้ 60 Hz เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบรถไฟฟ้าซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าขนาดแรงดัน 50 kV แต่ยังไม่ แพร่หลาย
แม้ว่าในทางทฤษฎีอาจจะช่วยประหยัดค่าติดตั้งอุปกรณ์ภาคพื้นดินได้มากกว่า และมีการทดลองนำมาใช้บ้าง
แล้วก็ตาม
ระบบไฟฟ้ากระแสตรงที่แรงดนัไฟฟ้า 750 - 1,500 โวลต์ ต้องติดตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยจำนวนมาก
เนื่องจากสถานีไฟฟ้าย่อยหนึ่งจะจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ไกลประมาณ 3-5 กม. จึงทำให้ตน้ทุนในการติดตั้งระบบ
การป้อนกระแสไฟฟ้าสูง ตรงกันข้ามการเดินรถไฟฟ้าระบบกระแสสลับซึ่งทำงาน ภายใต้แรงดันไฟฟ้าสูงกว่า
จะมีการติดตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยน้อยกว่า สถานีไฟฟ้าย่อยหนึ่งสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ไกลประมาณ 50 -
100 กม. ขึ้นอยู่กับสภาพการเดินรถ จึงทำให้ต้นทุนการติดตั้ง ระบบป้อนกระแสไฟฟ้าต่ำ กว่า อย่างไรก็ดี การ
เลือกใช้ระบบ การเดินรถไฟฟ้าแบบใช้กระแสสลับหรือ กระแสตรง มักอยู่ที่การวิเคราะห์ความคุ้มทุนโดย
ภาพรวม
กล่าวโดยทั่วไประบบขนส่งมวลชนมักมีการเดินรถหนาแน่นมาก เช่น ระบบรถไฟฟ้าของบริษัท บีที
เอส ซึ่งออกแบบให้สามารถรองรับการเดินรถได้ถึง 40 ขบวนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง หรือที่เรียกกันในภาษาการ
เดินรถไฟว่ามี “ระยะห่าง ระหว่างขบวนรถ” (Headway) 90 วินาที ระบบนี้จะมีต้นทุนโดยรวมต่ำ กว่าหาก
เลือกใช้ระบบกระแสไฟตรง ในขณะที่การเดินรถไฟฟ้าทางไกลมักมีขบวนรถ เดินหนาแน่นน้อยกว่า เช่น มี
ระยะห่างระหว่าง ขบวนรถ 5 - 10 นาที หรือมีขบวนรถเดินประมาณ 12 - 6 ขบวนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง กรณี
นี้การเลือก ใช้ระบบไฟฟ้ากระแสสลับที่แรงดันสูงจะมีความคุ้มทุนมากกว่า
เราอาจเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของรถไฟฟ้าได้ดังนี้.
ข้อดี
- รถไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าซึ่งสามารถใช้แหล่งพลังงานต้นกำเนิดได้หลาย
รูปแบบ ไม่จำเป็นต้องจำกัดไว้เพียงน้ำมันดีเซลหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น การแปลงพลงังานต้นกำเนิดให้เป็น
พลังงานไฟฟ้าแล้วใช้พลังงานไฟฟ้ามาขับเคลื่อนรถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งที่เป็นทางออกในอนาคตเมื่อ
รายงานการพัฒนาสื่อการเรียนดิจิทัลด้วยระบบ VR AR และ MR เพื่อช่วยพัฒนาทักษะวิศวกรซ่อมบ ารุงระบบราง หน้า | 169