Page 205 - เอกสารฝนหลวง
P. 205
ประมวลและยืนยันผลสัมฤทธิ์ฯ เอกสารเฉลิมพระเกียรติฝนหลวง
จะถูกพัดพาผ่านเลยบริเวณที่แห้งแล้งไป ไม่ตกเป็นฝนลงสู่บริเวณที่แห้งแล้งนั้น การแก้ปัญหาก็คือ
ต้องทําให้เมฆเหล่านั้นตกเป็นฝนลงในบริเวณเป้าหมายแห้งแล้งที่กําหนดไว้
ในสมัยก่อนนั้น ชาวบ้านในภาคอีสานฉลาดมากที่ทําบั้งไฟ เหมือนที่แสดงไว้ในรูปที่ 2 (FIG.2)
เพื่อใช้เป็น อุปกรณ์การยิงสารเคมีเข้าสู่ก้อนเมฆแบบดั้งเดิม เป็นการเผาสารเคมีที่บริเวณใต้ก้อนเมฆ
และช่วยให้เกิดฝนตกได้ ชาวบ้านจะคอยดูว่ากบแถวในหมู่บ้านมีอาการอย่างไร เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่
ว่า กบเป็นสัตว์ที่สามารถบอกเหตุว่าฝนจะตกหรือไม่ เมื่อเกิดภัยแล้งหนักๆ ชาวบ้านในหมู่บ้านก็จะ
ทําพิธีแห่นางแมวขอฝน เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มีเขียนเล่าไว้ในส่วนล่างของรูปที่ 2 ในทางสถิติแล้ว
แม้ชาวบ้านจะได้ฝนบ้างแต่ผลที่ได้จะไม่ค่อยแน่นอนเนื่องจากกระบวนการที่ใช้ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
“เทคโนโลยีฝนหลวง” จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทําฝนให้ตกลงสู่พื้นที่ได้ตรงเป้าหมายได้สําเร็จ
แน่นอนขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ร่วมกับการใช้เครื่องบินในการทําให้เกิดฝน
เทคโนโลยีการทําฝนนี้ช่วยให้มีนํ้าจืดเพียงพอที่จะบริโภค กับความต้องการนํ้าที่ขยายตัวอย่างมากมาย
ในทุกภาคของประเทศ ซึ่งไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความขาดแคลนนํ้ารุนแรงขึ้นได้ เทคโนโลยีนี้ปัจจุบัน
ได้พัฒนาถึงระดับการจัดการสภาพอากาศโดยเฉพาะการเกิดเมฆและฝน ในสภาวการณ์ต่างๆได้
ที่ด้านบนสุดของรูปที่ 2 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนไทยมาแต่โบราณว่าพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่
ในบรรดาเทวดาทรงเกวียนมาทําฝนในเรื่องเล่าของไทย นางฟ้านามว่า “มณีเมขลา” เป็นภาพวาด
ด้วยคอมพิวเตอร์โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ด้านบนซ้ายของรูปที่ 2 เป็นสัญลักษณ์ของ
สํานักฝนหลวง (Meteorological Service) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หลักในการทําฝน
ได้มีการทดลองปฏิบัติการการทําฝนโดยการโปรยสารดูดความชื้น (Hygroscopic substance)
เช่น ผงเกลือทะเลจากเครื่องบินทําฝนเพื่อจับความชื้นในอากาศแล้วตามด้วยสารเย็น (เช่น นํ้าแข็งแห้ง)
เพื่อควบแน่นความชื้นให้กลายเป็นเมฆ แต่ก็ยังมีปัญหาอีก นั่นคือ เมื่อไม่มีฝน และไม่มีนํ้าแข็งแห้ง
เพียงพอ เมฆที่ก่อขึ้นก็จะกลับสลายไปในทันทีเหลือแต่ฟ้าสีคราม แต่ถ้าใช้นํ้าแข็งแห้งมากเกินไป
เมฆก็จะ “ระเบิด” และถูกทําลายไป ซึ่งหากถึงขั้นตอนนี้แล้วแม้จะพ่นนํ้าทะเลเพื่อพยายามให้เกิดฝน
ก็ไม่สําเร็จ ท้องฟ้าจะยังคงเป็นสีฟ้าตามเดิม นั่นคือ การทําฝนจะต้องคํานึงถึงข้อมูลต่างๆมากมายไม่ว่า
จะเป็น ความชื้นในอากาศ อุณหภูมิในขณะนั้น ความเร็วและทิศทางของลม รวมทั้งปัจจัยอื่นๆอีกมาก
จึงจะประสบความสําเร็จ ต้องมีการศึกษาฟิสิกส์ของเมฆในรายละเอียดต่างๆอย่างลึกซึ้งเพื่อให้มี
ประสิทธิภาพในการทําฝน แม้ว่าหลักการพื้นฐานและองค์ประกอบทุกอย่างในการทําฝนยังคงเหมือนเดิม
ได้มีการทดลองอีกหลายครั้งหลังจากนั้นมา โดยทั่วไป เกลือทะเลหรือเกลือแกง และนํ้าแข็งแห้ง
นั้นยังคงมีการใช้อยู่ ในขณะที่หยุดใช้สารเคมีหลายชนิดไป มีการพัฒนาสูตรสารทําฝนขึ้นอีกหลายสูตร
โดยเทคโนโลยีฝนหลวง เช่น ยูเรีย (สารเย็นปานกลาง–สูตร 4) แคลเซียมคลอไรด์ (สารอุ่น–สูตร 6)
และแคลเซียมคาร์ไบด์ (สารอุ่นมาก สูตร 9) สูตร 9 อันหลังนี้ ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว เพราะค่อนข้างจะ
เป็นอันตราย ในครั้งแรกที่มีการทดลองใช้แคลเซียมคลอไรด์นั้น คาดหวังไว้ว่า หลังจากก่อเมฆขึ้น
ด้วยเกลือทะเล (สูตร 1) หากโปรยแคลเซียมคลอไรด์เข้าในก้อนเมฆ เมฆน่าจะขยายตัวใหญ่และ
150