Page 209 - เอกสารฝนหลวง
P. 209

ประมวลและยืนยันผลสัมฤทธิ์ฯ                                                                            เอกสารเฉลิมพระเกียรติฝนหลวง



                                                      บทสรุปการประดิษฐ์

                              การประดิษฐ์นี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อทําฝน  และการเคลื่อนย้ายนํ้า

                       ในรูปของเมฆฝนจากบริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งที่ต้องการห่างไกลออกไปและทําให้ตกเป็นฝน
                       กระบวนการประกอบด้วยขั้นตอนของ “การก่อเมฆ”  ซึ่งเป็นเทคนิคการกระตุ้นให้เมฆก่อตัวขึ้น

                       โดยใช้สารดูดความชื้นเป็นผงละเอียด เช่น โซเดียมคลอไรด์ “การเลี้ยงเมฆให้อ้วน” ซึ่งเป็นเทคนิค
                       การช่วยให้เมฆเจริญตัวเติบโตขึ้น โดยการกระจายแกนสารเคมีกลุ่มดูดความชื้น–ให้ความร้อนออก

                       ซึ่งมีขนาดอนุภาคใหญ่ เช่น แคลเซียมคลอไรด์  ทําให้เกิดการยกตัวของมวลเมฆโดยปฏิกิริยาที่ให้
                       ความร้อนออกมา  ซึ่งช่วยเพิ่มการชนตัวและรวมตัวกันของหยดนํ้าเล็กๆ ในมวลเมฆ “การเคลื่อนย้ายเมฆ”

                       ซึ่งเป็นเทคนิคการเคลื่อนมวลเมฆไปยังพื้นที่เป้าหมาย  และท้ายสุดคือ “การโจมตีเมฆ” ซึ่งเป็นเทคนิค
                       การทําให้ฝนตกจากเมฆ   ขั้นตอนของการโจมตีนี้สามารถทําได้แตกต่างกันสามวิธีด้วยกัน  คือ วิธีการ

                       ที่หนึ่ง  “เทคนิคการโปรยสารเคมีแบบแซนด์วิช” ใช้กับเมฆอุ่นซึ่งมียอดเมฆสูงไม่เกินระดับที่ทําให้
                       หยดนํ้าในก้อนเมฆแข็งตัว  ใช้แกนขนาดใหญ่ที่ดูดความร้อนและความชื้น เช่น  เกลือโซเดียมคลอไรด์

                       โปรยเข้าสู่ยอดเมฆ  และ ยูเรียโปรยที่ฐานเมฆในเวลาเดียวกัน เพื่อเพิ่มจํานวนหยดเม็ดฝนขนาดใหญ่

                       พร้อมกับลดอุณหภูมิภายในมวลเมฆเนื่องจากปฏิกิริยาดูดความร้อนที่เกิดขึ้น  ทําให้มีกระแสตีลง
                       ภายในมวลเมฆ หยดฝนขนาดใหญ่ก็จะเริ่มตกลงออกจากฐานเมฆ  วิธีการที่สอง  “เทคนิคการโปรย

                       สารเคมีแบบเกลชิโอเจนนิก”  ใช้สําหรับเมฆเย็นซึ่งมียอดเมฆสูงเกินระดับเยือกแข็งซึ่งปรากฏมีหยดนํ้า
                       เย็นยิ่งยวด (super–cool droplet)  และผลึกนํ้าแข็งอยู่ที่ยอดเมฆ  ทําโดยยิงซิลเวอร์ไอโอไดด์เผาเป็นควัน

                       ไปที่ยอดเมฆเพื่อให้หยดนํ้าเย็นยิ่งยวดกลายเป็นนํ้าแข็งอย่างรวดเร็วในกระแสตีขึ้น  ทําให้นํ้าทั้งหมด
                       ที่เหลือในมวลเมฆกลายเป็นปุยเกล็ดนํ้าแข็งซึ่งเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่จะกลายเป็นหยดฝนมาก  จะตกลง

                       ในรูปของนํ้าแข็งผ่านระดับเยือกแข็งแต่ในที่สุดก็จะละลายกลายเป็นหยดนํ้าฝนตกลงสู่เบื้องล่าง

                       วิธีการที่สาม  “เทคนิคการโปรยสารเคมีแบบซูเปอร์แซนด์วิช” ใช้กับเมฆผสม (mixed phase cloud)
                       ซึ่งมีทั้งเมฆอุ่นและเมฆเย็น   โดยใช้เทคนิคโปรยแบบแซนด์วิชร่วมกับแบบเกลชิโอเจนนิก เพื่อให้เกิด

                       ประสิทธิภาพมากขึ้นในการเพิ่มปริมาณฝน  การโปรยเกล็ดนํ้าแข็งแห้งที่ระดับ 1,000 ฟุตใต้ฐานเมฆ

                       ทําให้เพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ให้กับมวลอากาศที่ใต้ฐานเมฆนั้น   อัตราการตกของเม็ดฝนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
                       และฝนเม็ดใหญ่ก็จะตกลงสู่พื้นดินได้  กระแสตีลงล่างรุนแรงช่วยเพิ่มการป้อนอากาศชื้นเข้าสู่ก้อนเมฆ

                       ที่ถูกโจมตีและที่ฐานเมฆข้างเคียงเป็นผลให้เกิดฝนตกต่อเนื่อง  เกิดฝนมากขึ้นทั้งในแง่ปริมาณและ
                       พื้นที่ครอบคลุม รวมทั้งระยะเวลาที่ฝนตกให้นานขึ้น  เรียกว่า “การเสริมเพิ่มปริมาณฝน (Enhancement)”

                       การดัดแปรสภาพอากาศยังมีการพัฒนาเพิ่มเติม เช่น เพื่อสลายเมฆหนาให้เส้นทางการบินกระจ่างได้
                       หรือใช้ป้องกันการเกิดลูกเห็บ  และการทําฝนในบริเวณแอ่งนํ้าในหุบเขา หรือ บริเวณที่ค่อนข้างแคบ

                       ในอ่างเก็บนํ้าในสถานการณ์ต่างๆ ด้วย





                                                              154
   204   205   206   207   208   209   210   211   212   213   214