Page 214 - เอกสารฝนหลวง
P. 214

ประมวลและยืนยันผลสัมฤทธิ์ฯ                                                                            เอกสารเฉลิมพระเกียรติฝนหลวง



                       (in–cloud loading factor)   และทําให้ฐานเมฆเย็นลงเนื่องจากปฏิกิริยาดูดความร้อน   ขั้นตอนนี้เริ่มด้วย
                       เมื่อก้อนเมฆที่เลี้ยงให้อ้วนจากขั้นตอนที่ 2 เคลื่อนตามลมไปใกล้พื้นที่เป้าหมาย และมียอดเมฆสูงถึง

                       10,000 ฟุต หรือมากกว่า (เป็นเมฆอุ่น)  ซึ่งโตได้ไม่เกินไม่ถึงจุดเยือกแข็งหรือประมาณ 18,000 ฟุต
                              ขั้นตอนนี้ทําโดย  โปรยสารดูดความชื้นที่สองระดับ  คือที่ระดับยอดเมฆและที่ฐานเมฆใน

                       เวลาเดียวกัน   ผงสารที่ใช้เป็นแกนควบแน่นเมฆ  ซึ่งคือ โซเดียมคลอไรด์ และผงสารดูดความชื้น–
                       ดูดความร้อนซึ่งในที่นี้คือ ยูเรีย  ใช้โปรยไปที่ยอดเมฆ และที่ฐานเมฆ ตามลําดับและในเวลาเดียวกัน

                       โดยใช้เครื่องบินโปรยสารเคมีบินสวนทางคนละฟากของเมฆ ทํามุมทแยง 45 องศาซึ่งกันและกัน

                              หลังจากโปรยสารเคมีแล้ว  ระดับของฐานเมฆจะลดตํ่าลงประมาณ 1,000 ฟุต  เนื่องจากอุณหภูมิ
                       ที่ฐานเมฆลดตํ่าลง   ในมวลเมฆจะมีเม็ดฝนขนาดใหญ่ขึ้นและเป็นจํานวนมากขึ้น   เมฆจะแก่พอและ

                       เริ่มตกลงมาเป็นเม็ดฝน


                              ขั้นตอนที่ 4   การเพิ่มปริมาณนํ้าฝนที่ตกลงสู่พื้นดิน (Enhancing)
                              จุดมุ่งหมายของขั้นตอนนี้  ดังที่แสดงไว้ในรูปที่ 6    คือ การคงขั้นตอนที่ 3 ไว้ และเพิ่มนํ้าฝน

                       ที่จะหล่นลงสู่พื้นดิน   นอกจากนี้ยังเพิ่มช่วงระยะเวลาการตกของฝน ทําโดย ทําให้มวลอากาศใต้ฐานเมฆ

                       เย็นลงหยุดการลอยตัวขึ้น (cut off buoyancy) เพิ่มกระแสตีลง (increase the downdraft)
                       เพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ และลดการระเหยของหยดฝน ใช้ขั้นตอนนี้หลังขั้นตอนที่ 3 เมื่อเมฆที่ได้ตาม

                       ขั้นตอนที่ 3   เคลื่อนตามลมไปคลุมพื้นที่เป้าหมาย
                              ทําโดย  โปรยเกล็ดนํ้าแข็งแห้งที่ระดับ 1,000 ฟุต ใต้จากฐานเมฆ ฝนค่อยๆตกเพิ่มขึ้น จะมี

                       ปริมาณเม็ดฝนขนาดใหญ่ที่ตกถึงพื้นดิน  เพิ่มกระแสแรงตีลง  ป้อนความชื้นไปยังฐานเมฆข้างเคียง
                       เป็นผลให้เพิ่มฝนในเชิงปริมาณ เพิ่มระยะเวลาที่ฝนตก และเพิ่มปริมาณครอบคลุมพื้นที่ทําฝน



                              ขั้นตอนที่ 5   การโจมตีแบบเกลชิโอเจนิกหรือการยิงซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Glaciogenic Seeding
                       or AgI Seeding)



                              ขั้นตอนนี้ เป็นการ “โจมตี” โดยโปรยสารเคมีเข้าเมฆเย็น   ดังที่แสดงไว้ในรูปที่  7   ใช้ได้ต่อเมื่อ
                       มีเครื่องบินสําหรับโปรยสารเคมีเข้าเมฆเย็น   เครื่องบินสําหรับโจมตีเมฆเย็นจะต้องมีระบบควบคุม

                       ความดันภายในเครื่องบินทําให้สามารถทํางานได้ที่ระดับความสูง 30,000 ฟุต  และต้องติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ
                       ที่จําเป็นต้องใช้วัดและบันทึกข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา   การใช้สารเคมีโจมตีทําได้เมื่อเมฆที่เกิดใน

                       ขั้นตอนที่ 2  เคลื่อนที่ตามลมไปใกล้บริเวณเป้าหมาย   และยอดเมฆโตสูงเกินระดับเยือกแข็ง  และถึง
                       ระดับ 20,000 ฟุต   เมฆที่ใช้ได้ต้องมีปริมาณนํ้าเย็นยิ่งยวดอยู่ 0.5 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือมากกว่า

                       และมีกระแสตีขึ้นบน 5  เมตรต่อวินาทีหรือเร็วกว่าที่ระดับ  21,500 ฟุต



                                                              159
   209   210   211   212   213   214   215   216   217   218   219