Page 521 - 08_กฎหมายอาญา_Neat
P. 521

๕๐๘



                          ÍØ·ÒËó¢Í§ÍѹμÃÒÂá¡‹¨Ôμã¨
                          (ñ) ®Õ¡Ò·Õè ñóùù/òõðø   ถูกชกตีไมปรากฏบาดแผลเปนอันตรายแกกาย

              แลวถูกพาตัวไปคุมขังไวใตถุนสถานีตํารวจแตเดียวดายไกลหูไกลตาผูตองหาดวยกัน เชนนี้ไมเปน

              อันตรายแกจิตใจ
                          (ò) ®Õ¡Ò·Õè ò÷ó/òõðù  การใชเทาเงื้อจะถีบไมเปนอันตรายตอจิตใจ เพราะอันตราย
              ตอจิตใจนั้นตองเปนผลจากการทําราย ความรูสึกวาถูกเหยียดหยามเจ็บใจแคนใจ เหลานี้เปนอารมณ

              หาใชเปนอันตรายตอจิตใจไม
                          à¨μ¹Ò ผูกระทําตองมีเจตนาตามมาตรา ๕๙

                          องคประกอบภายในของความผิดมาตรานี้คือ  เจตนาทําราย  ศาลฎีกาวินิจฉัยใน
              คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๑๙/๒๕๑๗ วา “การใชกําลังยอมแสดงอยูในตัววาตองมีเจตนา ประกอบกับ

              คําวาทําราย เปนการชัดแจงวาตองมีเจตนากระทําตอรางกายและจิตใจของผูอื่น คือตองมีเจตนาทําราย
              เมื่อขอเท็จจริงในคดีนี้ฟงเปนยุติไดวาจําเลยใชกําลังผลักอกผูเสียหายมิใหผูเสียหายขึ้นไปบนอัฒจันทร

              โดยจําเลยไมมีเจตนาทําราย การกระทําของจําเลยจึงไมเปนความผิด”
                          ÍØ·ÒËó

                          ®Õ¡Ò·Õè ùô÷/òô÷ñ  จําเลยเปนครูใหญโรงเรียนประชาบาล ไดรับรายงานจากครู
              ประจําชั้นวามีเด็กนักเรียนเกียจคราน ๖ คน ซึ่งลวนแตเปนเด็กดื้อสั่งสอนยากและถูกครูลงโทษ

              มาหลายครั้งแลว จําเลยจึงเรียกตัวเด็กทั้ง ๖ มาสั่งสอนและลงโทษเฆี่ยนดวยไมเรียวคนละ ๔ ที เปนการ
              ทําโทษในฐานครูกับศิษยโดยเจตนาดีพอสมควรแกเหตุ และจําเลยก็มิไดมีความลําเอียงแกลงลงโทษ

              เด็กคนใดใหไดรับบาดเจ็บเปนพิเศษกวาคนอื่น จําเลยจึงไมมีความผิด
                          ปญหาที่นาสนใจเกี่ยวกับมาตรานี้ประการหนึ่งคือ การทํารายอันเกิดจากมูลวิวาท

              โดยตางฝายตางใชกําลังทํารายกัน จะถือวาเปนความผิดตามมาตรานี้หรือไม แตเดิมมาศาลฎีกาได
              วางหลักของกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๓๘(๓) วาแมจะเปนเรื่องวิวาทกัน จําเลยก็มีความผิด
              เพราะไมมีกฎหมายหามไมใหคูวิวาทฝายที่บาดเจ็บฟองอีกฝายหนึ่ง (ฎีกาที่ ๕๙๙, ๖๐๐/๒๔๖๙)

              และไดยึดหลักนี้ตลอดมา (ฎีกาที่ ๓๓๙/๒๔๗๐, ฎีกาที่ ๓๙๖/๒๔๗๐, ฎีกาที่ ๔๐๗/๒๔๗๖,

              ฎีกาที่ ๓๐๖/๒๔๗๗) จนถึง พ.ศ.๒๔๗๘ ก็เริ่มวางหลักใหมวาการทํารายกันเกิดจากการวิวาทจึงเปนการ
              ที่ตางฝายตางสมัครใจ เขาทํารายซึ่งกันและกันไมพึงฟงวาฝายใดบังอาจ (ฎีกาที่ ๙๗๒/๒๔๗๘) และได
              เดินตามแนวนี้มาจนถึง พ.ศ.๒๕๐๐ (ฎีกาที่ ๑๑๒๐/๒๔๘๐, ฎีกาที่ ๙๕๓/๒๔๘๔, ฎีกาที่ ๙๙๔/๒๔๘๗

              และฎีกาที่ ๑๔๙๕/๒๕๐๐) ก็ไมปรากฏคําพิพากษาฎีกาในเรื่องนี้ อีกขอที่นาสังเกตวากฎหมาย
              ลักษณะอาญามาตรา ๓๓๘(๓) ไดใชคําวา “ผูใดบังอาจ” ซึ่งศาลฎีกาไดยึดเปนหลักอธิบายวา การสมัครใจ

              วิวาททํารายกันจึงไมเปนความผิด เพราะไมอาจฟงไดวาฝายใดบังอาจ ดังนั้นแมกระทั่งพนักงาน
              อัยการก็ไมอาจเปนโจทกฟองได ในขณะเดียวกันกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๕๔ ซึ่งเปนความผิด

              ฐานทํารายรางกายไมปรากฏวามีคําวาบังอาจอยูในตัวบท ดังนั้นการทํารายรางกายถึงบาดเจ็บ
   516   517   518   519   520   521   522   523   524   525   526