Page 21 - บทความวิชาการนานาชาติวารสารวิทยาลัยสงฆ์ปี60.
P. 21

93
                                                                 วิทยาลัยสงฆ์นครน่านฯ เฉลิมพระเกียรติฯ






 ขึ้น กำรปฏิบัติงำนในเวลำต่อมำจะง่ำยขึ้น เพรำะสำมำรถใช้ข้อมูลในควำมจ่ำมำประกอบกำรพิจำรณำและกำร  กำยที ดี ท่ำให้สำมำรถต่อสู้กับภำระกิจทำงกำย และโรคภัยต่ำง ๆ ได้เป็นอย่ำงดี  2) ป้องกันควำมทุกข์ทำง

 ปฏิบัติงำนได้มำกขึ้น เป็นผลให้ควำมทุกข์ต่ำง ๆ ในเรื องของกำรปฏิบัติงำนและเรื องที เกี ยวข้องลดลง   จิตใจ เพรำะเมื อสมองมีข้อมูลด้ำนสติปัญญำทำงธรรมในควำมจ่ำ สมองก็จะท่ำหน้ำที ในกำรใช้ข้อมูลดังกล่ำว
 กำรจะพัฒนำจิตได้ดีขึ้นนั้น ต้องเพิ มพูนข้อมูลด้ำนสติปัญญำทำงธรรมอย่ำงง่ำย ๆ และมีคุณค่ำไว้ใน  เพื อกำรป้องกันไม่ให้เกิดควำมทุกข์ทำงจิตใจคล้ำยอัตโนมัติ ถ้ำมีกำรศึกษำและฝึกฝนจนช่ำนำญ เช่นเดียวกัน
 ควำมจ่ำ พร้อมทั้งมีสติในกำรใช้ข้อมูลดังกล่ำวในกำรด่ำเนินชีวิต จะท่ำให้ท่ำนมีสติในกำรรู้ดีรู้ชั ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ว่ำ  กับกำรที สมองมีข้อมูลด้ำนสติปัญญำทำงโลกในเรื องกำรป้องกันกำรบำดเจ็บของร่ำงกำย ซึ งสมองก็จะท่ำหน้ำที
 อะไรควรคิดและควรท่ำ รู้ว่ำอะไรไม่ควรคิดและไม่ควรท่ำ. ถ้ำท่ำนมีสติในกำรไม่คิดชั ว(ไม่คิดอกุศล)และไม่ท่ำ  ได้เองคล้ำยอัตโนมัติ ถ้ำได้ศึกษำและฝึกซ้อมมำก่อน  3) รักษำควำมทุกข์ทำงจิตใจ เพรำะเมื อสมองมีข้อมูลด้ำน

 ชั ว คงมุ่งแต่กำรคิดดี(คิดแต่กุศล)และท่ำแต่ควำมดี จะเป็นผลให้ท่ำนมุ่งหน้ำไปในด้ำนของกำรปฏิบัติงำนตำม  สติปัญญำทำงธรรมในควำมจ่ำ สมองก็จะสำมำรถท่ำหน้ำที ในกำรใช้ข้อมูลดังกล่ำว เพื อกำรรักษำควำมทุกข์
 หน้ำที ควำมรับผิดชอบ แทนที จะเสียเวลำไปกับกำรคิดฟุ้งซ่ำน กำรคิดและท่ำกิจที เป็นอกุศล ซึ งเป็นผลร้ำยต่อ  ทำงจิตใจที ก่ำลังมีอยู่ได้ทุกขณะที ต้องกำร เช่นเดียวกันกับกำรที สมองมีข้อมูลด้ำนสติปัญญำทำงโลกและใช้
 22
 กำรปฏิบัติงำนโดยตรง    ข้อมูลดังกล่ำวในกำรรักษำควำมทุกข์ทำงกำยที เกิดขึ้นเมื อต้องกำรรักษำ ซึ งเป็นกำรพึ งพำข้อมูลสติปัญญำของ
 3. ประโยชน์ด้านการด าเนินชีวิต   ตนเอง  4) ฟื้นฟูจิตใจภำยหลังกำรเจ็บป่วยและหลังจำกมีควำมทุกข์ เพรำะเมื อสมองมีข้อมูลด้ำนสติปัญญำทำง
 การพัฒนาจิตให้เป็นไปตามหลักธรรม  ขอแนะน่ำให้ท่ำนฝึกตั้งเจตนำอยู่เสมอ หรือสอนตัวเอง หรือ  ธรรมในควำมจ่ำ สมองก็จะท่ำหน้ำที ในกำรใช้ข้อมูลดังกล่ำว เพื อท่ำกำรฟื้นฟูจิตใจได้อย่ำงรวดเร็วตำมเจตนำ
 เตือนตัวเองตำมหลักธรรมอยู่เสมอว่ำ "เรำจะมีสติไม่คิดและไม่ท่ำอกุศลทั้งปวง เรำจะคิดและท่ำแต่กุศลให้ถึง  ของเจ้ำของ
 พร้อม โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยควำมโลภ และรักษำจิตใจของเรำให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ เพื อให้เรำ
 ห่ำงไกลจำกอกุศลและควำมทุกข์อยู่ตลอดเวลำ" รวมทั้งมีควำมตั้งใจ และมีควำมเพียร ที จะฝึกรู้เห็นและ  สรุป

 ควบคุมควำมคิดรวมทั้งกำรกระท่ำต่ำง ๆ ให้เป็นไปตำมหลักธรรมดังกล่ำววันละหลำย ๆ ครั้ง จะท่ำให้ท่ำน    กำรพัฒนำตนเป็นกำรเรียนรู้และกำรปฏิบัติเพื อน่ำไปสู่ควำมพอดี หรือกำรมีดุลยภำพของชีวิต มี
 สำมำรถเริ มด่ำเนินชีวิตตำมหลักธรรมได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ.   ถ้ำเป็นไปได้ ท่ำนควรฝึกประเมินผลของกำร  ควำมสัมพันธ์อันกลมกลืนระหว่ำงกำรด่ำเนินชีวิตของบุคคลกับสภำพแวดล้อมและมุ่งกำรกระท่ำตนให้มี
 ปฏิบัติธรรมตำมหลักธรรมวันละ 2 - 3 ครั้ง เพื อช่วยเร่งรัดให้ท่ำนปฏิบัติธรรมตำมหลักธรรมได้อย่ำงจริงจัง     ควำมสุขด้วยตนเอง รู้เท่ำทันตนเอง เข้ำใจตนเองมำกกว่ำกำรพึ งพำอำศัยวัตถุ จึงเป็นแนวทำงกำรพัฒนำชีวิตที

 ทุกครั้งที รู้ว่ำคิดหรือท่ำอกุศล ให้ตั้งใจมีเจตนำหรือตักเตือนตนเองว่ำ "เรำจะไม่คิดและไม่ท่ำเช่นนี้อีกต่อไป".   ยั งยืน หลักกำรพัฒนำตนตำมแนวพุทธธรรมอันประกอบด้วยสำระส่ำคัญ 3 ประกำร คือ 1) ทมะ ได้แก่ กำร
 ทั้งนี้ เพื อสร้ำงเจตนำซ้่ำแล้วซ้่ำอีก ท่ำให้ข้อมูลเจตนำเช่นว่ำนี้ มีอยู่ในควำมจ่ำมำกขึ้น นำน ๆ เข้ำ ท่ำนจะมี  รู้จักข่มใจ ข่มระงับควำมเคยชินที ไม่ดีทั้งหลำยได้ ไม่ยอมให้กิเลสรบเร้ำ หลอกล่อ ชักน่ำไปสู่ควำมเลวร้ำยได้
 ข้อมูลเช่นนี้ในควำมจ่ำของสมองมำกขึ้น จนเพียงพอที จะหยุดกำรคิดและกำรท่ำอกุศลได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ.   และ กำรฝึกปรับปรุงตนเอง โดยท่ำคุณควำมดี ให้เจริญก้ำวหน้ำ 2) สิกขา คือกำรศึกษำ เพื อให้รู้แจ้ง รู้จัก
 ในอดีตเรำนิยมใช้ค่ำว่ำอธิษฐำนจิต ซึ งนั นก็คือควำมเจตนำนั นเองเป็นที น่ำสังเกตว่ำ ในสมัยพุทธกำล   ประโยชน์ มองทุกอย่ำงเป็นกำรเรียนรู้เพื อปรับปรุงและพัฒนำตัวเอง เป็นกระบวนกำรฝึกฝนตนเองในกำร

 พระพุทธเจ้ำได้ทรงแสดงหลักธรรมนี้ แก่ที ประชุมสงฆ์ทุกกึ งเดือน เป็นเวลำ 20 พรรษำ ก่อนที จะทรงโปรดให้  ด่ำเนินชีวิต เรียกว่ำ ไตรสิกขำ 3) ภาวนา คือ ค่ำนี้ตรงกับค่ำว่ำพัฒนำ ซึ งประกอบด้วย กายภาวนา ศีลภำวนำ
 สวดปำฏิโมกข์(สวดศีล 227 ข้อ)อย่ำงปัจจุบันนี้แทน. ดังนั้น จึงเข้ำใจว่ำ กำรมีสติปฏิบัติธรรมตำมหลักธรรม  และปัญญำภำวนำ เทียบได้กับกำรพัฒนำทำงกำย พัฒนำทำงสังคม พัฒนำอำรมณ์ และพัฒนำสติปัญญำ  ศีล
 อย่ำงจริงจัง ครบถ้วน และถูกต้องตำมสมควร จะสำมำรถพัฒนำควำมรู้สึกนึกคิดและควำมจ่ำ(จิตใจ) รวมทั้ง  ภาวนา หมำยถึงกำรพัฒนำกำรกระท่ำ ได้แก่กำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ทำงกำยและวำจำกับบุคคลอื นโดยไม่
 กำรกระท่ำต่ำง ๆ ให้สูงขึ้นจนภำวะจิตใจมีควำมประเสริฐในระดับต่ำง ๆ (อริยบุคคล)    เบียดเบียนกัน ไม่กล่ำวร้ำยท่ำลำยผู้อื น ไม่กระท่ำกำรใด ๆ ที จะก่อควำมเดือดร้อนให้แก่ผู้อื น แต่จะใช้วำจำ
 23
 การพัฒนาจิตของตนเอง จะเป็นผลดีต่อจิตใจดังต่อไปนี้    และกำรกระท่ำที ดี ให้ควำมช่วยเหลือเกื้อกูลและเสริมสร้ำงควำมสัมพันธ์ที ดี   จิตตภาวนา หมำยถึง พัฒนำ
 1) ส่งเสริมสุขภำพจิตให้มีควำมเข้มแข็ง และอดทนต่อปัญหำและควำมยำกล่ำบำกต่ำง ๆ ที เกิดขึ้นได้  จิตใจ เพื อให้จิตมีคุณภำพดี สมรรถภำพทำงจิตดี และสุขภำพจิตดี คุณภำพจิตดี คือจิตใจที มีคุณธรรม ได้แก่ มี
 ทุกเมื อในขณะด่ำเนินชีวิต รวมทั้งในยำมเจ็บป่วย โดยไม่มีควำมทุกข์ทำงจิตใจ เช่นเดียวกันกับกำรมีสุขภำพ  เมตตำ กรุณำ มุทิตำ มีศรัทธำ และมีควำมเอื้อเฟื้อเผื อแผ่ เป็นต้น สมรรถภำพทำงจิตดี คือกำรมีควำมพร้อมใน

                                                              กำรท่ำงำน ได้แก่ ขันติคือมีควำมอดทน สมำธิคือควำมมีใจตั้งมั น อธิษฐำนคือมีควำมเด็ดเดี ยว วิริยะคือมีควำม
 22  พระไตรปิฎก เล่มที  20 พระสุตตันตปิฎก เล่มที  1    เพียร สติคือมีควำมระลึกเท่ำทัน เป็นต้น ส่วนสุขภำพจิตดีเป็นสภำพจิตที มีควำมสบำยใจ อิ มเอิบใจ แช่มชื น
 23   เ อ ก ชั ย   จุ ล ะ จ ำ ริ ต ต์ ,   ก าร พั ฒ น าต น เอ ง แ น วพุ ทธ ,  [ อ อ น ไ ล น์ ] .   แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล   :   เบิกบำน เกิดควำมสบำยใจได้เสมอเมื อด่ำรงชีวิตหรือท่ำกิจกรรมร่วมกับผู้อื น  ปัญญาภาวนา หมำยถึงกำร
 www.thai60.com.docC,Akap,M7Dev, [7 สิงหำคม 2560].
   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26