Page 63 - JCI 7th edition - BPK9 hospital
P. 63
มาตรฐานการรับรอง JCI สำหรับโรงพยาบาล ฉบับที่ 7 63
โดยทันที เพื่อรักษาชีวิตหรือป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากผลลัพธ์ที่ผิดปกติ (abnormal
result) ซึ่งหมายถึงผลลัพธ์ของการทดสอบที่อยู่นอกช่วงที่คาดหวัง แต่ไม่เป็นการคุกคามต่อชีวิตที่เร่งด่วนหรือฉุกเฉิน
ผลวิกฤตอาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในและในพื้นที่อภิบาลผู้ป่วยวิกฤต และในหอผู้ป่วยทั่วไปเช่นกัน
การตรวจวินิจฉัยรวมถึง การตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ การถ่ายภาพวินิจฉัย การวิฉิจฉัยทางหัวใจ ผลวิกฤติ
จากการตรวจวินิจฉัยทุกชนิดที่ทําข้างเตียง เช่น การตรวจ ณ จุดที่ให้การดูแล (point-of-care testing) การตรวจทาง
รพ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
ภาพวิฉัยฉัยโดยเครื่องที่เคลื่อนย้ายได้ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง (echocardiograms)
ใช้อบรมภายใน
การตรวจวินิจฉัยที่ทำให้เกิดผลตรวจทดสอบที่กำหนดอาจจะบ่งชี้ภาวะคุกคามต่อชีวิตแตกต่างไปจากการติดตามทาง
อิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งสัญญาณวัดหัวใจ (cadiac telemetry) และการตรวจคลื่อนไฟฟ้าสมองอย่าง
ต่อเนื่อง (EEG : electroencephalogram) หรือการวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ การติดตามทาง
อิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่องเป็นเครื่องมือการประเมินทางคลินิกที่ใช้ในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในสภาพของผู้
ป่วยที่อาจระบุถึงภาวะคุกคามต่อชีวิต แต่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทำให้เกิดผลวิกฤตที่ให้คำจำกัดความไว้
กระบวนการรายงานอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนเพื่อระบุผลวิกฤติของการตรวจวินิจฉัยที่ใช้สื่อสารไปยังผู้ให้การดูแล
ห้ามจำหน่าย
สุขภาพและการบันทึกข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่ลดความเสี่ยงของผู้ป่วย (ดู AOP.5.4 ร่วมด้วย)
ระบบการรายงานอย่างเป็นทางการที่ถูกนำไปใช้ทั่วทั้งโรงพยาบาล โดยจะต้องระบุวิธีอย่างชัดเจนว่าผลวิกฤตของการ
ตรวจวินิจฉัยนั้นถูกสื่อสารไปยังผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพได้อย่าง และมีการบันทึกข้อมูลอย่างไร
วัตถุประสงค์คือรายงานผลวิกฤตภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้เพื่อให้ผู้ให้บริการดูแลสุขภาพที่ได้รับใบอนุญาตที่เป็น
ผู้รับผิดชอบสามารถประเมินความสำคัญของผลทดสอบในแง่ของสถานการณ์ทางคลินิกของผู้ป่วย (ดู AOP.5.4 ร่วม
ด้วย)
การสื่อสารส่งมอบข้อมูลผู้ป่วย (handover comunication) นอกจากนี้ยังสามารถเรียกว่าการส่งต่อข้อมูลในการ
สื่อสาร การสื่อสารส่งมอบข้อมูลผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลเกิดขึ้น
• ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพ (ตัวอย่างเช่น แพทย์กับแพทย์ แพทย์กับพยาบาล พยาบาล
กับพยาบาล และอื่น ๆ)
• ระหว่างระดับของการดูแลที่แตกต่างกันในโรงพยาบาลเดียวกัน (ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ป่วยถูกเคลื่อนย้ายจาก
แผนกดูแลผู้ป่วยวิกฤตไปยังแผนกอายุรกรรม หรือจากแผนกฉุกเฉินไปยังห้องผ่าตัด)
• จากแผนกผู้ป่วยในไปยังแผนกตรวจวินิจฉัยหรือรักษาอื่น ๆ เช่น รังสีวิทยาหรือกายภาพ บําบัด; และ
• ระหว่างบุคลากรและผู้ป่วย/ครอบครัว เช่น เมื่อจำหน่าย (ดู ACC.4.1 ร่วมด้วย)
การสื่อสารที่ล้มเหลวสามารถเกิดขึ้นในระหว่างการส่งมอบการดูแลผู้ป่วยทุกขั้นตอนและสามารถ ส่งผลให้เกิด
เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ได้ การขัดจังหวะและการเสียสมาธิจากกิจกรรมในแผนกสามารถยับยั้งการสื่อสารข้อมูลสาร

