Page 170 - เมืองลับแล(ง)
P. 170
เรื่องที่ ๑๕ งานปอยหรืองานประเพณี
เมืองลับแล เป็นอาณาเขตท่าเหนือส่วนใต้ของประเทศโยนกชัยบุรีศรีเชียงแสน เจ้าเมืองรับเอา
ขนบธรรมเนียมประเพณีมาจาก (ภาคพายัพ) เพื่อให้ราษฎรได้มีความสำราญร่าเริง และพบปะสังสรรค์ปีละครั้ง
มีกำหนดเดือน ๔ เพ็ญ เจ้าเมืองเป็นประธาน ประกาศหรือนัดให้ราษฎรเตรียมแป้งไปทำขนมเส้น (ขนมจีน)
ั
่
่
ที่ค้างบอกไฟคือที่ บ้านนาปอย ปัจจุบันนี้มีการแห่บอกไฟไปจากวัดอารามตาง ๆ เพื่อประกวดประชนกัน ชาง
ฆ้อง ช่างกลอง ช่างปี่ ช่างซึ่ง ช่างซอ ช่างจ้อย ก็อุ่มงันกันอย่างสนุกสนาน ล้มหมู ล้มควาย แกงอ่อม ลาบล ขึ้น
ู้
ปู่พญาแก้ววงษ์เมือง ก่อนจะจุดบอกไฟก็มีการเซิ้งบอกไฟ แห่หมยมนากันเป็นคณะ ๆ เสร็จแล้วก็เอาขึ้นต้นยาง
ยิ่งสูงก็ยิ่งดี ค้างบอกไฟสูงประมาณซาวห้าวาคือ เอาต้นยางเป็นค้างบอกไฟ ทำบุญตักบาตรในงานปอย ใช้เวลา
๒ – ๓ วัน ต่อมาประชาชนมากขึ้นบ้านเรือนก็ลุกลามไปใกล้กับสถานที่จัดงานปอย เจ้าเมืองก็สั่งให้ย้ายสถานท ี่
จัดงานปอยไปตั้งที่ทุ่งนาน้ำท่วม เหนือฝายหัวดอยเพื่อความปลอดภัย ในการจุดบอกไฟ เอาแก่นเนื้อแข็งทำเสา
ค้างบอกไฟให้เป็นมาตรฐานสูงซาวห้าวาเศษ เมื่อถึงเดือน ๔ เพ็ญ ก็จัดงานปอยกันตามประเพณี สถานที่เดิม
นั้นจึงเป็นสัญลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้คือ บ้านนาปอย
เรื่องที่ ๑๖ เจ้าเมืองหมดวาสนาบารมี
พระเจ้าฟ้าฮ่ำราชกุมาร เจ้าเมืองลับแล ได้บำเพ็ญประโยชน์ทั้งฝ่ายราชอาณาจักร และพุทธจักรให้
เจริญรุ่งเรืองในยุคนั้นมาก สุดที่จะนำมาบรรยาย พระองค์ได้ปกครองประชาราษฎร์ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข
ั
ถ้วนหน้า จนเข้าถึงอายุไขยวัยชราก็เสด็จทิวงคต ชาวเมืองลับแลยกย่องเทอดทูนสกการะบูชาดวงวิญญาณของ
เจ้าฟ่อฟ้าฮ้ามไว้เหนือเกล้า เหนือกระหม่อม สร้างศาลขึ้นตรงที่ม่อนอาฮักษ์หลักเมือง เชิญดวงวิญาณเจ้าพ่อฟ้า
ฮ้าม ขึ้นสิงสถิตย์อยู่เพื่อให้คุ้มครองปกป้องราษฎร เมื่อผู้ใดมีทุกข์มีร้อนก็เอาหมากคำพลใบไปถวาย แล้วก็อ้อน
ู
วอนให้เจ้าพ่อช่วยกำจัดปัดเป่าเคราะห์โศก โรคภัย มีคนทรงรักษาป่วยไข้บางรายก็หายอย่างปลิดทิ้ง ถึงฤด ู
้
ก่อนจะทำนา ภายในเดือน ๗ ข้างขึ้น มีประเพณีแห่น้ำขึ้นโรง คือ เอาน้ำอบน้ำหอมขึ้นถวายเจาพ่อ ล้มหมู ลม
้
ควาย แกงอ่อม ลาบลู้ ถวายเจ้าพ่อ มีซอ มีจ้อย สมโภชอย่างสนุกสนาน เพื่อขอให้เจ้าพ่อฟ้าฮ้าม พระราชทาน
น้ำฝนลงมาให้ ทำไร่ทำนากันอย่างอุดมสมบูรณ ์
อนึ่งไม่ปรากฏว่า พระเจ้าฟ้าฮ่ำราชกุมารจะมีราชโอรสสืบสันติวงษ์เป็นรัชทายาท คงจะมีขุนนางผู้ใหญ่
รับเป็นรัชทายาทปกครองเมืองลับแล สืบต่อ ๆ มาหลายยุคหลายสมัย จนถึงบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงออกจาก
้
ั
อาณาจักรโยนกมาเป็นอาณาจกรลานนา ตามตำนานภาคพายัพกลาวไว้ว่า ในรัชสมัยของพระเจามหาชยชนะ
ั
่
ธิราช พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งนครนาคพันธ์สิงหนวัติโยนกชัยบุรีศรีเชียงแสน คราวนั้นเกิดอุบัติเหต ุ
เภทภัยก็เพราะชาวประมงนำเอาปลาไหลเผือกตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าลำตาล ยาวประมาณ ๗ วา เข้ามาถวายองค ์
การวิเคราะห์วรรณกรรมเมืองลับแล
หน้า ๒๐