Page 168 - หนังสือเมืองลับแล(ง)
P. 168

เรื่องที่ ๑๓  การประดิษฐ์ฝีเมือของบรรพสตรี



                       ตอนต้นได้กล่าวไว้แล้วว่า พระนางเจ้าสุมาลี และพระนางเจ้าสุมาลา เป็นต้นอาจารย์ถ่ายทอดวิชา
                                                                                                      ื่
               ความรู้ที่ได้คิดประดิษฐ์ฝีมือการทอผ้าพื้นเมืองเรียกว่า ผ้าซิ่น เป็นเครื่องนุ่งของสตรีมีลวดลายต่าง ๆ กัน ชอว่า
               ซิ่นตีนจก ซิ่นมุก ซิ่นฝ้าย ซิ่นไกไหม ซิ่นแหล้ ซิ่นตาเล่ม ซิ่นลับแลง ซิ่นดำปึก ผ้านุ่งที่ทำยาก ราคาแพงมีความ

               นิยมออกหน้าออกตาก็คือ ผ้าซิ่นตีนจก ซิ่นมุก และผ้าห่มหัวเก็บ หน้าหมอนหก หน้าหมอนแปด ถุงกุลา เป็น
               งานของสุภาพสตรี ส่วนมากพวกสาว ๆ นิยมทำงานเวลากลางคืน จุดไต้น้ำมันยางทำงาน พวกหนุ่ม ๆ ก็จะไป

               เที่ยวพบสาว เรียกว่า แอ่วสาวอยู่ค่ำ นั่งคุยกันไปฝ่ายหนุ่มก็เอาไม้เขี่ยไต้ช่วยให้แสงสว่างภาษพื้นเมืองว่า บ่าวอู้

               สาว หมายความว่า พูดเกี้ยวกัน
                       พระนางเจ้าทั้งสองยังฝากฝีมือไว้อีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องใช้ปั้นด้วยดินเหนียว เอาดินหม้อกลางท่งนา
                                                                                                      ุ
               ทายไปปั้นหม้อโอ่ง หม้อนึ้ง หม้อแกง หม้ออ่าง เป็นต้น  กระประดิษฐ์ การปั้นแปลกกว่าทอื่น ปัจจุบันก็ยังมีปั้น
                                                                                        ี่
               กันอยู่ บ้านวัดป่า บ้านนาโป่ง บ้านทุ่งเอี้ยง แต่ก็ไม่พอนิยมใช้กัน คงมองข้ามไปว่าเป็นของใช้ที่ล้าสมัย ส่วน
               ฝีมือการปรุงอาหารที่เป็นขนานดั้งเดิม ลาบหลู้ แกงอ่อม แกงแค ข้าวแคบน้ำแก้วทอด เป็นอาหารออกหน้า

               ออกตาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

                       พระนางเจ้าสุมาลี พระนางเจ้าสุมาลา ไม่ปรากฏว่ามีพระราชโอรสอายุเขาปัจฉิมวัยก็พร้อมใจกันปลง
                                                                                  ้
               พระราชทรัพย์ ส่วนพระนางทั้งสองออกสร้างวัดตรงเหนือพระราชวังมีชื่อว่า “วัดนางปล๋ง” ประชาชนเรียก

               เพี้ยนไปว่า วัดนาโป่ง ปัจจุบันเป็นวัดร้างอยู่เหนือบ้านนาโป่ง พระนางเจ้าทั้งสองซึ่งเป็นบรรพสตรีของชาวเมือง

               ลับแล เมื่อถึงอายุไขยวัยชรา พระนางก็ทิวงคต พระแม่เจ้าทั้งสองเป็นต้นอาจารย์การทอหูก ทอผา ของแม่ศรี
                                                                                               ้
               เรือนชาวเมืองลับแล จึงเคารพเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเป็นที่สูงสุด เมื่อทอหูก ทอผ้า เสร็จแลวมี
                                                                                                       ้
               พิธีขึ้นครู เอาผ้าที่ทอเสร็จใหม่ ๆ นั้นทั้งหมดขึ้นพาดขนเขาพืม เรียบร้อยแล้วก็เชิญครู มานุ่งห่มผ้าว่า


                                                     ขอเจิญเจ้าแม่สุมาล  ี

                                                    ขอเจิญเจ้าแม่สุมาลา

                                                        ลงนุ่งห่มผ้า
                                                      ตอหุกคราวหน้า

                                                   ขอฮื้อปันไดปันเปือง ฯ


                       ถ้าสตรีผู้ใดไม่ทำพิธีขึ้นครูก็ถือว่าไม่เคารพต่อครูบาอาจารย์ ทอหูกทอผ้าอีกคราวหน้าก็จะทำให้หด

               หายไป ช้ามากทำให้เสียเวลานาน จึงนิยมขึ้นครูกันทุกครั้ง แต่ไม่มีการอ้อนวอนให้เจ้าแม่ช่วยอย่างอื่น เพียงแต ่

               ยกเจ้าแม่ทั้งสองขึ้นเป็นครูบาอาจารย์ การทอหูก ทอผ้า เย็บปัก ถักร้อยเท่านั้น




                                             การวิเคราะห์วรรณกรรมเมืองลับแล
                                                        หน้า ๑๘
   163   164   165   166   167   168   169   170   171   172   173