Page 26 - 50 คำถาม เกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการ
P. 26

22



               9. ค ำชี้ขำดข้อพิพำทหมำยเลขแดงที่ 33/2560

               ประเด็นข้อพิพาท : ๑. ฝ่ายผู้คัดค้านผิดสัญญาหรือไม่

                                ๒. หากฝ่ายผู้คัดค้านผิดสัญญา ค่าเสียหายมีเพียงใด

                             ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตำมที่คู่ควำมน ำสืบว่ำ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ผู้เรียกร้อง
               ได้ตกลงกับ ผู้คัดค้าน ท าสัญญาก่อสร้าง ออกแบบ และสร้างอาคารชุด จ านวน ๑ อาคาร รวมเป็นเงินตามสัญญาจ านวน
               ๕๐๔,๖๙๗,๖๐๐บาท (ห้าร้อยสี่ล้านหกแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยบาทถ้วน) ก าหนดแล้วเสร็จภายใน ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
               หลังจากนั้นได้มีการท าบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงสัญญาดังกล่าวทั้งหมดหกครั้ง โดยได้มีการตกลง
               แก้ไขเยียวยาโดยขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ปรับลดค่าจ้าง จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ให้ จ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้า แต่การก่อสร้าง

               ไม่สามารถด าเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ และผู้เรียกร้องได้เข้าจัดการงานก่อสร้าง  ส่วนที่เหลือ คือ งานส่วนกลาง
               เช่น ลานจอดรถ โถงทางเดิน เป็นต้น งานแก้ไขห้องพัก เก็บงานต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ จนแล้วเสร็จสมบูรณ์
               เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖


               ค ำวินิจฉัยชี้ขำด
                              อนุญำโตตุลำกำรพิจำรณำกำรน ำสืบพยำนและพยำนเอกสำรหลักฐำนแล้ว
                             ประเด็นข้อพิพาทที่ 1 จากทางพิจารณาและพยานหลักฐานต่าง ๆ แม้จะมีการตกลงกันในการท าสัญญา
               ครั้งแรกว่าต้องให้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ แต่ก็ได้มีการตกลงแก้ไขเพิ่มเติมกันตลอดมาถึงครั้งที่ ๖ ในวันที่
               ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แม้จะระบุว่าการแก้ไขเพิ่มเติมไม่เป็นเหตุในการขยายระยะเวลาในการก่อสร้างและผู้เรียกร้อง
               ขอสงวนสิทธิในการคิดเบี้ยปรับเพื่อการล่าช้าและค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แต่การที่มีการตกลงกันให้ผู้คัดค้านด าเนินการ
               ก่อสร้างโครงการต่อไปแม้เกินก าหนดวันเสร็จสิ้นการก่อสร้างแล้วนั้นตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ถือ

               สาระส าคัญของวันเวลาที่เคยตกลงกันว่าต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ แล้ว สาระส าคัญตามทางปฏิบัติ
               ของทั้งสองฝ่ายก็คือ ต้องท าการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเท่านั้น (ตามนัยค าพิพากษาฎีกาที่ ๖๓๓๕/๒๕๕๐) และถือได้ว่าเป็น
               การขยายระยะเวลาว่าจ้างออกไปโดยไม่มีก าหนด จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาหรือกระท าการอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
               หรือคล้ายคลึงกันจึงจะถือว่าผิดสัญญานั้นนับแต่มีการกระท านั้น ( ตามนัย   ค าพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๖๗-๒๔๖๘/๒๕๕๒)
               ดังนั้น เมื่อผู้คัดค้าน มิได้ด าเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น อันท าให้ผู้เรียกร้อง ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ แจ้งต่อ
               ผู้คัดค้านว่า เนื่องจากผู้คัดค้านไม่สามารถท างานให้แล้วเสร็จตามก าหนดระยะเวลาที่ตกลงกันได้และท าให้ผู้เรียกร้อง
               สามารถโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบอาคารชุดให้ลูกค้าได้ ผู้เรียกร้องจึงจ าเป็นต้องเข้าร่วมจัดการงานในส่วนที่เหลือต่อไปเพื่อให้

               งานเสร็จโดยเร็ว และผู้เรียกร้องได้เข้าไปด าเนินการก่อสร้างอาคารเองในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม
               ๒๕๕๖ กรณีดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าผู้คัดค้าน ผิดสัญญาตั้งแต่วันเวลาและตลอดในช่วงเวลาดังกล่าว
                             ประเด็นข้อพิพาทที่ 2 การที่ผู้คัดค้าน มิได้ด าเนินการตามสัญญาจ้างก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญา

               และผู้เรียกร้องได้บอกเลิกสัญญาแล้วย่อมมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนส าหรับความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแต่การเลิก
               สัญญานี้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๐๕ ส าหรับค่าเสียหายนั้น ผู้เรียกร้องมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
               ที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาเพราะไม่ช าระหนี้ ของผู้คัดค้านซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒
               เงินค่าปรับล่าช้านับแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ จ านวน ๒๗๑,๘๗๙,๐๙๕.๙๐ บาท
               (สองร้อยเจ็ดสิบเอ็ดล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันเก้าสิบห้าบาทเก้าสิบสตางค์) นั้น แม้เป็นค่าเบี้ยปรับรายวัน
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31