Page 11 - 2557 เล่ม 1
P. 11
๑๑
กรุงเทพมหานคร และรถยนต์โดยสาร หมายเลขทะเบียน ๑๑ – ๗๐๔๗
กรุงเทพมหานคร โดยรับผิดชอบจะซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิม ส่วนค่าสินไหมทดแทน
เป็นเงินนั้นจะไปดําเนินการกันเองกับบริษัทประกันภัย ซึ่งในส่วนค่าสินไหม
ทดแทนนี้ศาลล่างทั้งสองกําหนดให้จําเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชําระเงินแก่โจทก์
๑๕๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเงินเสร็จ
มีปงญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ ๒ ประการแรกว่า จําเลยที่ ๒ ต้อง
ร่วมรับผิดในการกระทําละเมิดของจําเลยที่ ๑ หรือไม่ โจทก์มีนายเศวต พนักงาน
ของโจทก์เบิกความว่า พยานไปพบพนักงานสอบสวนคดีนี้ พบตัวแทนจําเลยที่ ๓
ทําบันทึกความเสียหายของรถยนต์โดยสารไว้ตามเอกสารศาลแพ่งหมาย ป.จ.๕
ก่อนพบพนักงานสอบสวน จําเลยที่ ๑ แจ้งให้พยานทราบว่า จําเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้าง
ของจําเลยที่ ๒ นอกจากนี้ตามสําเนาหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถ ระบุว่า
จําเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน ๘๐ – ๕๒๗๓
ชุมพร และมีชื่อเป็นผู้ใช้รถยนต์บรรทุกประกอบการขนส่งอยู่ในขณะเกิดเหตุ โดย
ไม่ปรากฏว่า จําเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้นํารถยนต์บรรทุกประกอบการขนส่ง
แต่อย่างใด ส่วนที่จําเลยที่ ๒ นําสืบว่า จําเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่ารถยนต์บรรทุกคัน
เกิดเหตุจากจําเลยที่ ๒ นั้น ก็ไม่มีหลักฐานการเช่าและหลักฐานการชําระค่าเช่า
แต่ประการใด พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ําหนักมากกว่าพยานหลักฐานของ
จําเลยที่ ๒ ข้อเท็จจริงรับฟงงได้ว่า ขณะเกิดเหตุจําเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุก
หมายเลขทะเบียน ๘๐ – ๕๒๗๓ ชุมพร รับจ้างบรรทุกสินค้าอันเป็นการ
ประกอบการขนส่งในนามของจําเลยที่ ๒ จึงต้องถือว่า จําเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของ
จําเลยที่ ๒ ในการขับรถยนต์บรรทุก ดังนั้น จําเลยที่ ๒ ในฐานะตัวการจึงต้อง
รับผิดในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนของตนได้กระทําไป ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา ๔๒๗ และ ๘๒๐ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ วินิจฉัยให้เหตุผลมานั้น
ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจําเลยที่ ๒ ฟงงไม่ขึ้น
มีปงญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ ๒ ประการที่สองว่า หนี้ตาม
มูลละเมิดระงับไปเพราะโจทก์กับจําเลยที่ ๑ ทําสัญญาประนีประนอมยอมความ