Page 20 - 2557 เล่ม 1
P. 20
๒๐
จําเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๑๐ วรรคแรก, ๓๔๐ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓ ขณะกระทํา
ความผิดจําเลยมีอายุ ๒๐ ปี มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษ
ให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ การกระทําของจําเลยเป็นความผิด
หลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ (ที่ถูก ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
ความผิดไป) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้
ยานพาหนะเพื่อกระทําผิด จําคุก ๑๕ ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จําคุก ๑ ปี
รวมจําคุก ๑๖ ปี คําให้การในชั้นสอบสวนและทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่
การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑๐ ปี ๘ เดือน
จําเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจําเลยในความผิด
ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทําผิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไป
ตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทําที่จะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์นั้น ต้องเป็น
การลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลัง
ประทุษร้าย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุจําเลยกับพวกมาดักรอ
ผู้เสียหายเพื่อนําไปพบนายเอกตามที่นัดกันไว้ก่อนแต่ผู้เสียหายไม่ยอมไปพบ
เมื่อผู้เสียหายเห็นจําเลยกับพวกจึงขับรถหนี พวกจําเลยจึงใช้หมวกกันน็อกขว้างใส่
เพื่อให้หยุดรถแสดงให้เห็นเจตนาว่าจําเลยต้องการเพียงให้ผู้เสียหายหยุดรถเท่านั้น
และเมื่อจําเลยกับพวกตามไปทันพวกของจําเลยเป็นคนสอบถามเรื่องเงินจาก
ผู้เสียหายต่อหน้าจําเลยแล้วล้วงเอาเงินของผู้เสียหายไป ๑๐๐ บาท พฤติการณ์ของ
จําเลยกับพวกตามที่ได้ความ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลัง
ประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์ดังที่โจทก์ฎีกา จึงไม่เป็นความผิด
ฐานชิงทรัพย์ แต่การที่นายชาญกับพวกของจําเลยล้วงเอาเงินสด ๑๐๐ บาท