Page 66 - 2557 เล่ม 1
P. 66
๖๖
หมู่ที่ ๑๔ ตําบลหัวสําโรง อําเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เมื่อปี ๒๕๑๕ อันเป็น
หลักฐานยืนยันว่า โจทก์ที่ ๑ อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ ๓๐ หมู่ที่ ๑๔ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินพิพาท
มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ ส่วนนายไกรบิดาจําเลยที่ ๑ ที่จําเลยที่ ๑ ฎีกาว่า นายไกรเป็นผู้
อนุญาตให้โจทก์ที่ ๑ เข้าอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทนั้น ได้ความจากคําเบิกความของ
จําเลยที่ ๑ ว่า นายไกรพักอาศัยอยู่กับนางเรียนจนได้นางบุญมาเป็นภริยาจึงย้ายไปอยู่กับ
นางบุญมาที่อําเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ปี ๒๕๑๑ นายไกรและนางบุญมา
ย้ายกลับมาอยู่กับนางเรียนที่บ้านเลขที่ ๑๗ หมู่ที่ ๒ ตําบลหัวสําโรง อําเภอท่าวุ้ง
จังหวัดลพบุรี เพื่อคลอดจําเลยที่ ๑ จากนั้นนายไกรและนางบุญมาอาศัยอยู่กับนางเรียน
ตลอดมาจนถึงปี ๒๕๑๔ นายไกรจึงย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านเลขที่ ๑๗ หมู่ที่ ๒ ของ
นางเรียน ที่จําเลยที่ ๑ เบิกความว่านายไกรซื้อที่ดินพิพาทจากนางวัง เนื้อที่ ๒ งาน
ราคา ๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ โดยการผ่อนชําระเงินค่าที่ดินให้นางวัง เมื่อ
นายไกรผ่อนชําระเสร็จ นางวังจึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้นายไกรในปี ๒๕๑๗
คงมีแต่จําเลยที่ ๑ เบิกความลอยๆ เพียงปากเดียวมีน้ําหนักน้อย และขัดกับบันทึกข้อตกลง
เรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่ระบุว่า นางวังโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๒๐๐ ใน ๑๑๔๕๒ ส่วน
ให้แก่นายไกร ข้อเท็จจริงฟงงได้ว่า โจทก์ที่ ๑ ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเมื่อปี ๒๕๑๕
และอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวก่อนที่นายไกร จะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากนางวัง
ที่จําเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้คดี พยานหลักฐานของโจทก์ที่ ๑ มีน้ําหนักดีกว่า
พยานหลักฐานของจําเลยที่ ๑ จึงฟงงได้ว่า โจทก์ที่ ๑ ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อ
จากนางเรียนผู้เป็นมารดามาตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ โดยมิได้อาศัยสิทธิของนายไกร ที่
จําเลยที่ ๑ นําสืบว่า ปี ๒๕๔๓ โจทก์ที่ ๑ มาขออนุญาตจากนายไกรล้อมรั้วและ
นายไกรอนุญาตนั้น มีแต่คําเบิกความของจําเลยที่ ๑ เพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ
มีน้ําหนักน้อยรับฟงงไม่ได้ เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี ๒๕๑๐
โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีแล้ว
โจทก์ที่ ๑ จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า ที่ดินใน
แนวเส้นสีน้ําเงินในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ ๑ โดยการครอบครองปรปงกษ์นั้น
ชอบแล้ว ฎีกาจําเลยที่ ๑ ฟงงไม่ขึ้น