Page 70 - 2557 เล่ม 1
P. 70
๗๐
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๘๘, ๘๐ จําคุก ๑๐ ปี ทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้หนึ่งในสี่
คงจําคุก ๗ ปี ๖ เดือน ให้จําเลยชําระเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วมที่ ๑ และ
ชําระเงิน ๔,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วมที่ ๒ คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จําเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จําเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจําเลยที่ว่า โจทก์ร่วมทั้งสองติดตามมาท้าทาย
จําเลยที่บ้านของจําเลย โดยโจทก์ร่วมที่ ๑ วิ่งมาภายในบริเวณบ้านของจําเลย
จําเลยจึงวิ่งไปหยิบมีดพร้ามาถือไว้และแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัว การกระทําของ
จําเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จําเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้องนั้น
เห็นว่า เป็นฎีกาในปงญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง
ดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว และไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคําวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง
ฎีกาของจําเลยจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณา
พิพากษาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๙ วรรคสอง
และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง
อนึ่ง การที่โจทก์ร่วมที่ ๒ มีเรื่องต่อยกับจําเลยก่อน ต่อมาในวันเดียวกัน
โจทก์ร่วมทั้งสองติดตามไปท้าทายจําเลยที่บ้านของจําเลยให้ออกมาต่อสู้กัน
จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ต่อสู้กันโดยจําเลยใช้มีดพร้าฟงนโจทก์ร่วมทั้งสองได้รับ
บาดเจ็บ พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟงงได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจําเลย
โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และ
ไม่มีสิทธิยื่นคําร้องขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ วรรคหนึ่ง ได้ ปงญหาดังกล่าวเป็นปงญหา
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอํานาจหยิบยกขึ้นแก้ไขให้
ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง
ประกอบมาตรา ๒๒๕