Page 105 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 105

๙๒




               สี่ปีถึงสิบห้าปี หรือปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสามแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ส่วนตามมาตรา ๖๖ วรรคสอง

               หากมีปริมาณค านวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ปริมาณที่ก าหนดตามมาตรา ๑๕ วรรคสาม แต่ไม่เกินยี่สิบกรัม

               ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจ าคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท จะเห็นได้ว่า การกาหนด
                                                                                          ื่
               โทษตามมาตรา ๖๖ วรรคสอง ใช้ปริมาณสารบริสุทธิ์ที่เป็นข้อสันนิษฐานความรับผิดเพอจ าหน่ายตามมาตรา
                                                 ั
               ๑๕ วรรคสาม เป็นเกณฑ์ในการก าหนดอตราโทษที่สูงขึ้น ซึ่งปริมาณที่เป็นข้อสันนิษฐานความรับผิดเพอจ าหน่าย
                                                                                                    ื่
                                                  ี
               ตามมาตรา ๑๕ วรรคสาม เป็นปริมาณเพยงเล็กน้อยและไม่ได้สัดส่วนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และในส่วนของ
               มาตรา ๖๖ วรรคสาม หากมีปริมาณค านวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ ๒๐ กรัมขึ้นไป ต้องระวางโทษจ าคุกตลอดชีวิต
               และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างผู้กระท าความผิดที่

                                                                        ื่
               จ าหน่ายหรือมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพอจ าหน่ายมีปริมาณค านวณเป็นสารบริสุทธิ์
                                                                                                      ั
               ๒๐ กรัม ๑๐๐ กรัม  ๑,๐๐๐ กรัม หรือ ๑๐,๐๐๐ กรัม แล้ว จะเห็นได้ว่า กรอบในการก าหนดระวางอตราโทษ
               ขั้นต่ าและขั้นสูงไม่ได้สัดส่วนกับความผิดเช่นกัน กล่าวคือ ไม่มีช่วงกว้างเพยงพอที่จะท าให้ศาลใช้ดุลพนิจในการ
                                                                             ี
                                                                                                     ิ
                                                                                         ั
               ก าหนดโทษให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นราย ๆ ไปได้ และเป็นการก าหนดอตราโทษขั้นต่ าที่สูงเกิน
               สัดส่วน ซึ่งในส่วนของบทก าหนดโทษในความผิดฐานผลิต น าเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑

               เพอจ าหน่าย ตามมาตรา ๖๕ วรรคสอง ซึ่งมีระวางจ าคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท
                  ื่
               หรือประหารชีวิต ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

                           ส าหรับพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ (เดิม) ไม่มีการน า

                                                               ื่
               ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายมาใช้ในการก าหนดความผิดเพอขาย ต่อมาด้วยเหตุผลที่พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์
               ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกบสถานการณ์
                                                                                                  ั
                                                                         ๒๕
               ในปัจจุบันที่สภาพปัญหาเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น  จึงมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวัตถุที่
               ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีการน าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายแบบไม่เด็ดขาดมาใช้ก าหนด

               ความผิดฐานผลิต น าเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑ ประเภท ๒ ประเภท ๓ และประเภท ๔ หรือ

                                                ื่
               น าผ่านซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภท เพอขาย โดยก าหนดปริมาณค านวณเป็นสารบริสุทธิ์ของวัตถุออกฤทธิ์ที่เป็น
               เงื่อนไขของข้อสันนิษฐานว่าเพอขายไว้ในกฎกระทรวง ซึ่งตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
                                         ื่
               พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้ก าหนดนิยาม “ขาย” หมายความว่า จ าหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ ส่งมอบหรือมีไว้เพอขาย
                                                                                                        ื่
               ดังนี้ จึงไม่มีความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยตรง โดยมาตรา ๘๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

               บัญญัติว่า “ห้ามผู้ใดมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภท เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจาก

               ผู้อนุญาต” และวรรคสาม บัญญัติว่า “การมีวัตถุออกฤทธิ์ชื่อและประเภทใดไว้ในครอบครองซึ่งค านวณเป็นสาร
               บริสุทธิ์เกินปริมาณที่ก าหนดในกฎกระทรวง ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพอขาย” ดังนั้น หากผู้ใดมีไว้ใน
                                                                                    ื่
               ครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ที่มีปริมาณค านวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินปริมาณที่ก าหนดในกฎกระทรวงที่ให้สันนิษฐาน


                       ๒๕  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙
   100   101   102   103   104   105   106   107   108   109   110