Page 106 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 106
๙๓
ื่
ั
ว่ามีไว้ในครอบครองเพอขาย การกระท านั้นก็จะเป็นความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ ซึ่งมีอตราโทษสูงกว่าความผิด
ฐานมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ โดยเฉพาะความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑
และประเภท ๒ จะมีอตราโทษขั้นต่ าสูงกว่ามาก กล่าวคือ ความผิดฐานมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุ
ั
ออกฤทธิ์ในประเภท ๑ หรือประเภท ๒ ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ (ตามมาตรา ๑๔๐ วรรคหนึ่ง) ส่วนความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑
ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท (มาตรา ๑๑๖) ความผิดฐานขาย
วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท
(มาตรา ๑๑๘) อย่างไรก็ดี ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๕๙ นี้ มีบทบัญญัติใน
มาตรา ๑๖๓ ที่ก าหนดว่า “ในกรณีที่ศาลเห็นว่าการกระท าความผิดของผู้ใด เมื่อได้พเคราะห์ถึงความร้ายแรงของ
ิ
ั
การกระท าความผิด และพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณีมีเหตุอนสมควรเป็นการเฉพาะราย ศาลจะ
ั
ั
ลงโทษจ าคุกน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้นก็ได้ และถ้าเป็นกรณีที่มีอตราโทษปรับขั้นต่ า
ิ
ถ้าศาลได้พเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระท าความผิด ฐานะของผู้กระท าความผิดและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง
ั
ประกอบแล้ว กรณีมีเหตุอนสมควรเป็นการเฉพาะราย ศาลจะลงโทษปรับน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้
ั
ส าหรับความผิดนั้นก็ได้” ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพนิจในการก าหนดโทษส าหรับผู้กระท า
ิ
ความผิดให้เหมาะสมโดยค านึงถึงความร้ายแรงของการกระท าความผิด ฐานะของผู้กระท าความผิดและพฤติการณ์
ที่เกี่ยวข้องประกอบกัน ศาลจะลงโทษจ าคุกหรือลงโทษปรับน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิด
ั
นั้นก็ได้ ซึ่งในส่วนนี้มีความแตกต่างจากบทบัญญัติตามมาตรา ๑๐๐/๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติด
ิ
ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ก าหนดว่า “ถ้าศาลเห็นว่าการกระท าความผิดของผู้ใดเมื่อได้พเคราะห์ถึงความร้ายแรงของ
การกระท าความผิด ฐานะของผู้กระท าความผิดและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณีมีเหตุอนสมควร
ั
เป็นการเฉพาะราย ศาลจะลงโทษปรับน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้นก็ได้” กล่าวคือ
ั
ิ
หากมีเหตุอนสมควรเป็นการเฉพาะรายเมื่อพเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระท าความผิด ฐานะของผู้กระท า
ั
ความผิดและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว ศาลจะลงโทษน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับ
ั
ความผิดนั้นได้เฉพาะโทษปรับเท่านั้น
หลักการใช้ดุลพนิจในการพจารณาคดีและก าหนดโทษส าหรับผู้กระท าความผิดเป็นเรื่องที่มี
ิ
ิ
ความส าคัญอย่างมากในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา การลงโทษควรได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของความผิด
กล่าวคือ โทษที่ผู้กระท าความผิดควรได้รับต้องเท่ากับความเสียหายที่ผู้กระท าความผิดได้ก่อให้เกิดขึ้น ซึ่งในส่วนนี้
ื่
สามารถพจารณาถึงพฤติการณ์ของผู้กระท าความผิด คือ ผลิต น าเข้า ส่งออก จ าหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพอ
ิ
จ าหน่าย ประเภทและปริมาณของยาเสพติดในประการหนึ่ง อนการพจารณาถึงเหตุทางภาวะวิสัย แต่หลักการใช้
ั
ิ
โทษให้เหมาะสมกับผู้กระท าความผิดแต่ละคน ควรพจารณาถึงเหตุทางอตวิสัย เช่น ลักษณะส่วนตัวของผู้กระท า
ั
ิ
ิ
ี
ความผิดว่ามีลักษณะร้ายแรงมากน้อยเพยงใดด้วย เมื่อพจารณาบทบัญญัติในกฎหมายยาเสพติดตาม