Page 1054 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 1054

๑๐๔๒


                                                              ั
                  ิ
                 พจารณาของศาล เนื่องจากค าขอให้กักกัน พนักงานอยการเป็นผู้ร้องขอ ศาลอาจเห็นพฤติการณ์เบื้องต้นจาก
                     ้
                                   ั
                                                ิ
                                                                                     ั
                 ค าฟองของพนักงานอยการ ซึ่งการพจารณาว่าจะกักกันตามค าขอของพนักงานอยการหรือไม่นั้น กฎหมาย
                 ก าหนดเงื่อนไขว่าต้องเป็นผู้กระท าความผิดติดนิสัยคือ เคยเป็นผู้ถูกศาลพพากษาให้กักกันมาแล้ว หรือเคยถูก
                                                                              ิ
                 พิพากษาให้ลงโทษจ าคุกไม่ต่ ากว่าหกเดือนมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งในความผิดดังกล่าวมา และเป็นผู้ที่กระท า
                                                     ้
                 ความผิดดังกล่าวอกภายในสิบปี นับแต่วันพนจากการกักกันหรือพนโทษ  กฎหมายก าหนดว่าหากเข้าเงื่อนไข
                                                                        ้
                                ี
                                                               ิ
                 ดังกล่าวอาจถือว่าผู้นั้นเป็นผู้กระท าผิดติดนิสัย และจะพพากษาให้กักกันมีก าหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามปี และ
                 ไม่เกินสิบปีก็ได้ ซึ่งยังคงให้เป็นดุลพนิจของศาลที่จะพจารณาว่าผู้นั้นเป็นผู้กระท าผิดติดนิสัยหรือไม่ และจะ
                                               ิ
                                                              ิ
                  ิ
                                                                                                     ิ
                 พพากษาให้กักกันมีก าหนดเวลาเท่าใดภายในก าหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามปี และไม่เกินสิบปีก็ได้ การพจารณา
                 ดังกล่าวจึงจ าเป็นที่ศาลควรได้ข้อมูลอย่างแจ้งชัดว่าจ าเลยมีพฤติการณ์ใดที่ส่อแสดงว่าเป็นผู้กระท าผิดติดนิสัย
                 วิเคราะห์ปัญหาทางพฤติกรรม และปัจจัยทางสังคมภายนอกที่เป็นตัวกระตุ้นให้จ าเลยกระท าผิดซ้ า เช่น สังคม
                 ไม่ให้โอกาส พนโทษแล้วยังถูกตีตราบาปจากสังคมหรือมีปัญหาทางจิตใจ ไม่ว่าจะเกิดจากอาการป่วยทางจิต
                             ้
                 หรือความเชื่อ หรือบางรายกระท าตามปกตินิสัย มีแรงจูงใจอื่น เช่น เงินทอง ความโลภ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการ
                 ประเมินของผู้ให้ค าปรึกษา ศาลสามารถน ามาประกอบดุลพินิจว่าสมควรกักกันจ าเลยหรือไม่เพียงใด


                                 ๒. ห้ามเข้าเขตก าหนด การใช้มาตรการห้ามเข้าเขตก าหนดตามมาตรา ๔๔ ได้บัญญัติให้

                 ความหมายไว้ว่า “ห้ามเข้าเขตก าหนด คือการห้ามมิให้เข้าไปในเขตท้องที่หรือสถานที่ที่ก าหนดไว้ใน
                 ค าพพากษา” ดังนี้เขตที่ก าหนดห้ามเข้ามีสองประการ คือ เขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่งที่ก าหนดไว้ในค าพพากษา
                                                                                                     ิ
                     ิ
                                                      ิ
                                                                                                        ื่
                 หรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งที่ก าหนดไว้ในค าพพากษา  เป็นการก าหนดเขตห้ามผู้กระท าความผิดเข้าไป เพอให้
                 สังคมปลอดภัยจากการกระท าของผู้กระท าความความผิด ซึ่งต้องเป็นท้องที่หรือสถานที่ที่ผู้กระท าความผิดเข้า
                 ไปแล้วมีแนวโน้มว่าจะกระท าความผิดความผิดอีก


                                 เงื่อนไขในการห้ามเข้าเขตก าหนด มาตรา ๔๕ บัญญัติว่า “ เมื่อศาลพพากษาให้ลงโทษผู้ใด และ
                                                                                      ิ
                 ศาลเห็นสมควรเพอความปลอดภัยของประชาชน ไม่ว่าจะมีค าขอหรือไม่ ศาลอาจสั่งในค าพพากษาว่าเมื่อผู้นั้น
                                ื่
                                                                                            ิ
                 พ้นโทษตามค าพิพากษาแล้ว ห้ามมิให้ผู้นั้นเข้าเขตก าหนดเป็นเวลาไม่เกินห้าปี”


                                 การห้ามเข้าเขตก าหนดกฎหมายให้อ านาจศาลในการใช้ดุลพินิจโดยไม่จ าต้องมีค าขอ แต่มีเงื่อนไข
                                                                                         ื่
                                     ิ
                 ว่าต้องเป็นกรณีที่ศาลพพากษาลงโทษ และต้องเป็นเรื่องที่สมควรจะใช้วิธีการนี้เพอความปลอดภัยของ
                 ประชาชน ดังนั้นการที่ศาลจะใช้วิธีการนี้ต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้งว่าการที่ผู้กระท าความผิดเข้าไปในสถานที่ใด

                                                                                                          ี
                 หรือท้องที่ใดแล้ว ท าให้มีโอกาสเกิดความเสี่ยงหรือมีแนวโน้มว่าผู้กระท าความผิดจะกระท าความผิดขึ้นมาอก
                                                                                                           9
                 เนื่องจากการห้ามเข้าไปในเขตก าหนดย่อมกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่จะเดินทางหรือเลือกทอยู่อาศัย
                                                                                                   ี่
                 ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องการกระท าความผิดของผู้กระท าความผิดที่เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือท้องที่ใดนั้น ต้องเป็น


                        9  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๓๘
   1049   1050   1051   1052   1053   1054   1055   1056   1057   1058   1059