Page 200 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 200

๑๘๗


                                   ื่
                                              ิ
                 ค าพพากษาเป็นอย่างอน การใช้ดุลพนิจให้นับโทษจ าคุกจ าเลยต่อจากโทษจ าคุกในคดีอ่น จึงเป็นข้อยกเว้น
                     ิ
                                                                                        ื
                                     ิ
                 ไม่ให้เริ่มนับแต่วันมีค าพพากษา
                            ิ
                        ค าพพากษาฎีกาที่ ๑๘๓๑/๒๕๕๗ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติ
                                                                                    ิ
                 ที่ก าหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับโทษจ าคุกจ าเลยว่าให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีค าพพากษา โดยมีข้อยกเว้น
                                                               ิ
                 ในกรณีที่ศาลจะมีค าพพากษาเป็นอย่างอน ซึ่งวันมีค าพพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงวันที่ศาล
                                    ิ
                                                   ื่
                        ิ
                  ่
                                                               ิ
                 อานค าพพากษาโดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๒ และ ๑๘๘ โดย
                                                                 ิ
                     ิ
                 ค าพพากษาไม่จ าเป็นต้องถึงที่สุด เพราะเมื่อศาลมีค าพพากษาแล้วจ าเลยย่อมต้องถูกบังคับโทษตาม
                                                 ุ
                 ค าพิพากษานั้น แม้ต่อมาภายหลังศาลอทธรณ์หรือศาลฎีกาจะแก้โทษจ าคุกก็ไม่มีผลต่อวันเริ่มโทษจ าคุกแต่
                                            ิ
                 อย่างใด คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านค าพพากษาให้จ าเลยฟังแล้ว โดยให้ลงโทษจ าคุกจ าเลยตลอดชีวิต และนับโทษ
                                                     ื่
                 จ าเลยต่อจากโทษจ าคุกจ าเลยในคดีอาญาอน ย่อมมีความหมายว่าค าพพากษาได้กล่าวถึงเวลาเริ่มบังคับ
                                                                            ิ
                 โทษจ าคุกไว้เป็นอย่างอน ดังนั้น การเริ่มนับโทษจ าคุกจ าเลยจึงต้องเริ่มนับเมื่อจ าเลยได้รับโทษจ าคุกใน
                                     ื่
                 คดีอาญาอนครบถ้วนแล้ว แม้ต่อมาศาลฎีกามีค าพพากษาแก้โทษของจ าเลยเหลือเพยง ๓๖ ปี ๘ เดือน
                          ื่
                                                           ิ
                                                                                        ี
                 แต่ก็ยังคงให้นับโทษจ าคุกจ าเลยต่อจากโทษจ าคุกของจ าเลยในคดีอาญาดังกล่าว จึงไม่มีผลต่อวันเริ่มนับ
                 โทษจ าคุกของจ าเลย
                        ตามค าพพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในการบังคับโทษทางอาญานั้น กฎหมาย
                                ิ
                                                           ิ
                 อาจยกเว้นให้เริ่มบังคับโทษในวันอื่นที่ไม่ใช่วันมีค าพพากษาได้
                        ผู้ศึกษาเห็นว่า โทษปรับเป็นโทษที่บังคับเอากับทรัพย์สินของจ าเลย มิได้มุ่งบังคับกับสิทธิเสรีภาพ

                 ของจ าเลยเช่นเดียวกับโทษจ าคุกและโทษกักขัง ดังนั้น เมื่อศาลพพากษาให้ปรับจ าเลย การให้จ าเลยช าระ
                                                                       ิ
                                                               ั
                               ิ
                 ค่าปรับตามค าพพากษา ย่อมเป็นไปตามวัตถุประสงค์อนแท้จริงของการลงโทษปรับ แต่เนื่องจากจ าเลย
                 แต่ละบุคคลมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่เท่าเทียมกัน การให้จ าเลยทุกคนช าระค่าปรับทันทีในวันที่ศาลพิพากษา
                 ย่อมท าให้จ าเลยซึ่งมีฐานะยากจนและยังไม่มีเงินช าระค่าปรับ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ ซึ่งไม่เป็นไปตาม

                                                                                       ิ
                 วัตถุประสงค์ของการลงโทษปรับ ท าให้จ าเลยได้รับความเดือดร้อนและต้องสูญเสียอสรภาพโดยไม่สมควร
                 เกิดความไม่เสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย และไม่เป็นธรรมแก่จ าเลยซึ่งมีฐานะยากจน
                             ิ
                        เมื่อพจารณาเหตุผลตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติวิธีบังคับโทษปรับไว้โดยเฉพาะว่า
                 เมื่อจ าเลยไม่น าเงินค่าปรับมาช าระภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลพพากษา ศาลจึงยึดทรัพย์สินหรืออายัด
                                                                         ิ
                                        ื่
                 สิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพอใช้ค่าปรับ หรือกังขังจ าเลยแทนค่าปรับได้ เว้นแต่ ศาลเห็นอนควรสงสัยว่า
                                                                                            ั
                 จ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ จึงจะกักขังแทนค่าปรับได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากวิธีบังคับโทษจ าคุกตาม

                 มาตรา ๒๒ ที่บัญญัติให้เริ่มนับแต่วันมีค าพพากษา จึงตีความได้ว่า เป็นกรณีที่กฎหมายยกเว้นไม่ให้เริ่ม
                                                     ิ
                 บังคับโทษปรับในวันมีค าพพากษา โดยให้สิทธิจ าเลยน าเงินค่าปรับมาช าระภายใน ๓๐ วัน เมื่อจ าเลย
                                        ิ
                                                                                     ั
                 ไม่ช าระค่าปรับภายในเวลาดังกล่าว จึงเริ่มบังคับโทษปรับ เว้นแต่ ศาลเห็นเหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะ
                 หลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ จึงเริ่มบังคับโทษปรับได้ทันที ซึ่งเหตุสงสัยว่าจ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ
                                   ื่
                 นั้น ต้องเป็นเหตุผลอนที่ไม่ใช่เหตุเพราะจ าเลยไม่ช าระค่าปรับ และศาลต้องมีข้อเท็จจริงดังกล่าวมา
                                ิ
                 ประกอบในการพจารณาสั่งให้กักขังจ าเลยแทนค่าปรับด้วย ซึ่งการตีความดังกล่าวน่าจะเป็นไปตาม
   195   196   197   198   199   200   201   202   203   204   205