Page 197 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 197
๑๘๔
๒.๒ ปัญหาการตีความกรณีเหตุสงสัยว่าจะจ าเลยหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ
ปัญหาการกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ยังเป็นปัญหาให้
ิ
เกิดการตีความในทางวิชาการว่า เมื่อศาลพพากษาให้ปรับจ าเลยแล้ว จ าเลยมีสิทธิน าเงินค่าปรับมาช าระ
ิ
ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลพพากษา เมื่อครบก าหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากจ าเลยไม่ช าระค่าปรับ
ศาลจึงจะสั่งให้ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพอใช้ค่าปรับ หรือสั่งให้กักขังแทนค่าปรับ
ื่
ิ
ั
โดยศาลจะใช้ดุลพนิจสั่งให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนได้ เมื่อศาลเห็นเหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะ
หลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติของศาล เมื่อศาลพิพากษาให้ปรับและจ าเลยไม่มเงินช าระ
ี
ค่าปรับ ศาลจะสั่งให้กักขังแทนค่าปรับทันที
ิ
เมื่อพจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่งแล้ว ค าสั่งศาลที่ให้กักขังจ าเลยแทนค่าปรับใน
ทันทีนั้น แปลความได้ว่า เป็นกรณีที่ศาลเห็นเหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ จึงให้
ั
กักขังจ าเลยแทนค่าปรับไปพลางก่อน และตีความได้ว่า เมื่อจ าเลยคนใดไม่ช าระค่าปรับ ถือว่าหลีกเลี่ยง
ไม่ช าระค่าปรับทันที ซึ่งเป็นการตัดโอกาสไม่ให้จ าเลยน าเงินค่าปรับมาช าระภายใน ๓๐ วัน
จึงมีปัญหาให้วิเคราะห์ถ้อยค าที่ว่า “เหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ”
ั
่
อันน าไปสู่การ “กักขังแทนค่าปรับไปพลางกอน” มีความหมายและขอบเขตเพียงใด
ิ
เมื่อพจารณาบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ไม่มาตราใดให้ความหมายของถ้อยค าว่า
“เหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ” ไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นเรื่องที่ศาลซึ่งท าหน้าที่
ั
ตีความและบังคับใช้กฎหมาย ต้องค้นหาและตีความหมายของถ้อยค าดังกล่าวให้เป็นไปตามเจตนารมณ์
และความมุ่งหมายของกฎหมาย โดยการตีความกฎหมายอาญานั้นจะตีความในทางขยายผลให้เป็นโทษ
หรือเป็นผลร้ายแก่จ าเลยไม่ได้ และในกรณีเป็นที่สงสัยต้องตีความในทางที่เป็นผลดีแก่จ าเลย
เมื่อน าค าว่า “เหตุ” หมายถึง สาเหตุ ค าว่า “สงสัย” หมายถึง ไม่แน่ใจในข้อเท็จจริง, ลังเล,
ไม่ทราบไม่แน่ชัด, เคลือบแคลง, เอาแน่ไม่ได้ ค าว่า “หลีกเลี่ยง” หมายถึง หลบหลีก, ท าให้ไม่เป็นผล
ลักษณะอาการที่เบี่ยงออกไปจากทางหรือแนวเดิม หรือมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เช่น เลี่ยงกฎหมาย เลี่ยงภาษี
42
เลี่ยงบาลี มาวิเคราะห์ประกอบถ้อยค าตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่งตอนแรกที่บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องโทษปรับ
และไม่ช าระค่าปรับภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ศาลพพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิ
ิ
เรียกร้องในทรัพย์สินเพอใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ...” ความหมายของถ้อยค าว่า
ื่
ั
“เหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ” จึงอาจตีความได้ว่า มีสาเหตุบางอย่างท าให้ศาล
เคลือบแคลงหรือไม่แน่ใจว่าจ าเลยจะช าระค่าปรับภายใน ๓๐ วันหรือไม่
ั
ั
ิ
นอกจากนั้น เมื่อพจารณาถ้อยค าว่าเหตุอนควรสงสัยว่าจ าเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับอน
ื่
น าไปสู่การออกหมายกักขังแทนค่าปรับ เปรียบเทียบกับกฎหมายอนที่บัญญัติไว้ในท านองเดียวกัน เช่น
การออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๖๖ ซึ่งบัญญัติว่า “เหตุที่จะออก
ิ
หมายจับได้นั้นมีดังต่อไปนี้ (๑) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระท าความผิดอาญาซึ่งมี
42 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔