Page 250 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 250
ดุลพาห
บทที่ ๔ เป็นการรวบรวมผลการศึกษาเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยง (risk
assessment) ในการกระทำาผิดซำ้าว่ามีวิธีการใดบ้าง และมีเครื่องมือในการประเมินความเสี่ยง
กี่ประเภท แต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร ทั้งยังอธิบายถึง “ความเสี่ยงของการ
ประเมินความเสี่ยง” คือความผิดพลาดในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งอาจมีได้ทั้งกรณีประเมิน
คนที่เสี่ยงว่าไม่เสี่ยง (false negatives) หรือประเมินคนที่ไม่เสี่ยงว่าเสี่ยง (false positives)
ส่วนบทที่ ๕ อธิบายถึงสภาพ ประวัติและหลักเกณฑ์การวินิจฉัยสภาวะจิตผิดปกติ
(psychopathy) ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้วัดหรือตรวจสภาวะดังกล่าว ทั้งวิเคราะห์
ว่าสภาวะจิตผิดปกติควรพิจารณาจากคุณลักษณะทางด้านจิตใจและอารมณ์เพียงอย่างเดียว
หรือพิจารณาจากพฤติกรรมต่อต้านสังคมที่แสดงออกมาด้วย จุดเด่นของบทนี้คือการวิเคราะห์
ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสภาพจิตผิดปกติกับการเริ่มกระทำาผิด และการกระทำาผิดซำ้า
โดยอาศัยข้อมูลจาก CSDD ผู้เขียนยำ้าว่าเป็นเรื่องจำาเป็นที่ต้องสามารถตรวจสภาวะจิต
ผิดปกตินี้ให้ได้ตั้งแต่เบื้องต้น ซึ่งสามารถอาศัยองค์ความรู้ทางด้านอาชญประสาทวิทยา
(neurocriminology) มาช่วยได้
เนื้อหาบทที่ ๖ เป็นการสำารวจองค์ความรู้เกี่ยวกับการกระทำาผิดซำ้าของผู้กระทำาผิด
เกี่ยวกับเพศ ซึ่งผลการศึกษาพบว่ามีอัตราการกระทำาผิดซำ้าน้อยกว่าผู้กระทำาผิดฐานอื่นๆ โดย
ผู้เขียนนำาเสนอบทบัญญัติและมาตรการทางกฎหมายในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรที่
มีวัตถุประสงค์ในการลดการกระทำาผิดซำ้าของผู้กระทำาผิดเกี่ยวกับเพศ ทั้งยังจำาแนกผู้กระทำาผิด
เกี่ยวกับเพศออกเป็นประเภทแตกต่างกันหลายระดับ เช่น ผู้กระทำาผิดฐานข่มขืนกระทำาชำาเรา
ก็มีความแตกต่างกันตามมูลเหตุจูงใจและลักษณะการกระทำา และแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรม
การกระทำาผิดเกี่ยวกับเพศนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามอายุในลักษณะอย่างไร กับอภิปรายถึงวิธี
การแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำาผิดเกี่ยวกับเพศด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะวิธีการ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับรู้ (cognitive-behavioural techniques)
บทที่ ๗ ผู้เขียนอธิบายถึงวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดการกระทำาผิดซำ้าโดยอาศัย
พยานหลักฐานเชิงประจักษ์จากการวิจัยต่างๆ และนำาเสนอว่าวิธีการที่มุ่งแต่ผลในทางข่มขู่
ยับยั้งเพียงอย่างเดียวจะไม่ช่วยลดการกระทำาผิดซำ้า เช่น การใช้ค่ายทหาร และการลงโทษหนัก
ในขณะที่การใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรับรู้จะได้ผลมากกว่า โดยผู้เขียนนำาเสนอ
ว่ามาตรการแทรกแซงเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (intervention) ที่ได้ผลต้องวางอยู่บนพื้นฐาน
กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑ 239