Page 251 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 251

๒๓๐



                       น้ำหนักอิทธิพลสามารถอธิบายความได้ว่า การจัดการความโกรธ (Anger Management) ในการวิจัย
                                                                                     ่
                       นี้ ปัจจัยแรกที่ต้องดำเนินการคือการจัดการความโกรธที่ภายในจิตใจตนเองกอน จากนั้นให้ใช้ฝึกเจริญ
                       เมตตาธรรมการและฝึกให้อภัยทาน ส่วนการควบคุมความโกรธนั้นมีอิทธิพลต่ำสุดนั้นแสดงว่าวิธีบุคคล
                                                                                          ี
                       ในสังคมปัจจุบันเมื่อเผชิญความโกรธแล้วยังใช้วิธีการควบคุมความโกรธได้อย่างไม่มประสิทธิผล

                                 สรุปได้ว่าการผสมผสานเทคนิคการจัดการอารมณ์โกรธจากจิตวิทยาร่วมกับหลักธรรมทาง
                       พระพุทธศาสนาย่อมส่งเสริมเกื้อกูลต่อกันส่งผลให้การจัดการความโกรธมีประสิทธิภาพและ

                       ประสิทธิผลมากขึ้น ที่สำคัญอย่างยิ่งคือการจัดการความโกรธได้ทันต่อสถานการณ์ (เป็นปัจจุบันขณะ

                       ไม่หน่วงอดีต ไม่คิดไปอนาคต) ตรงสภาวธรรมของความโกรธด้วยการ รับรู้ ยอมรับ ปล่อยวาง และ มี
                       เมตตาให้อภัย


                                 ๒) เทคนิคให้ค าปรึกษาในโกธนสูตรเพื่อจัดการความโกรธด้วยตนเอง (Kothana
                       Sutta Counseling for Anger Management: KSC4AM-Technique)

                                 ผลการวิเคราะห์การระงับความโกรธในอักโกสกสูตร พระสูตรที่กล่าวถึงการการสนทนา

                       ระหว่างอักโกสกภารทวาชพราหมณ์กับพระพุทธเจ้า จนพราหมณ์สามารถระงับความโกรธมีดวงตา

                       เห็นธรรมบรรลุอริยบุคลด้วยการได้รับคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า พร้อมกับใช้หลักการให้คำปรึกษา
                       ทางจิตวิทยาสมัยใหม่ช่วยเสริมอธิบายการตีความให้มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกับหลักการจัดการ

                       ความโกรธในสังคมปัจจุบัน  ผู้วิจัยสรุปได้เป็น ๘ วิธี คือ ๑) การยอมรับ (Acceptance) ๒) การดูและ

                       การสังเกต (Looking and Observing) ๓) การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ๔) การไม่ตัดสิน
                       (Non-judgmental) ๕) การตั้งคำถาม (Questioning) ๖) การสื่อสารที่ดี (Good Communication)

                       ๗) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) และ ๘) การสะท้อนกลับ (Reflective)

                                                                      ุ
                                 ๓) การสร้างสังคมไทยไร้ความโกรธในอดสมคติ จากสถิติฐานความผิดคดีอาญา
                       หน่วยงานตำรวจทั่วประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ รายงาน ฐานความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกายและเพศ พบ

                       ๑๗,๘๔๘ คดี หรือสรุปได้ว่า ทุก ๆ ๑ ชั่วโมง คนในประเทศไทยทุกคนไม่ต่ำกว่า ๒ คน มีความเสี่ยง
                       ต่อการถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าโดยผู้อื่น สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาสังคมไทยปัจจุบันยังเป็น

                       สังคมแห่งการใช้ความรุนแรง (violent society) สาเหตุโดยตรงเกิดจากความโกรธ ซึ่งความโกรธ
                       สามารถเกิดกับบุคคลทุกคน (everyone) ทุกที่ (everywhere) และ ทุกเวลา (every time) ส่งผลให้

                       ทุกชีวิตต้องเผชิญกับความโกรธเสมอ จากข้อค้นพบที่สำคัญจากการวิจัย ข้อ ๑ และ ข้อ ๒ ผู้วิจัยจึงมี

                       แนวคิดต่อการสร้างสังคมไทยไร้ความโกรธในอุดมคติ หมายถึง สังคมที่ประกอบด้วย บุคคลผู้โกรธรู้จัก
                       ความโกรธ ยอมรับว่าโกรธ เข้าใจเหตุปัจจัยความโกรธ หาวิธีจัดการความโกรธ และปล่อยวางความ

                       โกรธได้ ปัญหาการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย การฆาตกรรม และการพยาบาท ย่อมไม่เกิดขึ้น
                       สังคมจะเป็นสังคมแห่งความสงบและสันติสุข ด้วยการบูรณาการจัดการความโกรธทางจิตวิทยากับ
   246   247   248   249   250   251   252   253   254   255   256