Page 247 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 247
๒๒๖
ิ
๕) วธีการจัดการความโกรธ ทางจิตวิทยามีเทคนิควิธีจัดการความโกรธหลายวิธี
American Psychology Association ได้เสนอวิธีจัดการความโกรธไว้ดังนี้ การรับรู้และยอมรับ
ความโกรธ การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย การสื่อสารที่ดี การจัดการกับความคิด การปล่อยวาง การใช้
อารมณ์ขันและการระบายอารมณ์โกรธ ทางจิตวิทยาต่างกับทางพระพุทธศาสนาเล็กน้อยตรงที่
จิตวิทยามุ่งเน้นที่การจัดการอารมณ์โกรธในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม ประเด็นที่น่าสนใจ
คือ เทคนิคการจัดสถานที่ระบายความโกรธ (Rage room) เป็นเทคนิคที่ไม่มีทฤษฎีและแนวคิดของ
จิตวิทยารับรองแต่กลับเป็นที่นิยมของสังคมปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่าหากไม่ระบายความโกรธออกมา
จะหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ทรมานใจตนเอง เกิดความเครียดส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย
ตามมา ผู้วิจัยเห็นว่าเทคนิควิธีนี้ไม่ได้เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ แต่เป็นการสนองความโกรธให้สะสมลง
จิตใต้สำนึกหรือภวังคจิตโดยไม่รู้ตัว ควรใช้เทคนิควิธีทางพระพุทธศาสนาที่เน้นการพัฒนาจิตใจให้เกิด
สติปัญญา เห็นสภาวธรรมของความโกรธตามที่มันเป็น รับรู้ ยอมรับ ให้อภัยทานด้วยเมตตาธรรม บน
ื
พ้นฐานของหลักอริยสัจ ๔ ด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา ทั้งนี้ผู้วิจัยเสนอให้ใช้อบายการระงับความ
ุ
โกรธตามอักโกสกสูตร ที่พระพุทธเจ้าช่วยระงับความโกรธของพราหมณ์จนดวงตาเห็นธรรม สรุปได้
เป็น ๘ เทคนิค (อุบาย) คือ ๑) การยอมรับ (Acceptance) ๒) การดูและการสังเกต (Looking and
Observing) ๓) การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ๔) การไม่ตัดสิน (Non-judgmental) ๕)
การตั้งคำถาม (Questioning) ๖) การสื่อสารที่ดี (Good Communication) ๗) การให้ข้อมูล
ย้อนกลับ (Feedback) และ ๘) การสะท้อนกลับ (Reflective) นอกจากนี้ยังมีวิธีการจัดการความ
โกรธของพระอริยบุคคลร่วมสมัยพระพุทธเจ้า เช่น พระสาลีบุตร พระปุณณะ หรือวิธีการของ
นักวิชาการร่วมสมัย คือ พุทธโฆสเถระ สมเด็จพระญาณสังวรฯ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ุ
และพุทธทาสภิกข ที่ได้เสนอแนะวิธีการระงับความโกรธให้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ิ
๕.๒.๒ การบูรณาการการจัดการความโกรธทางจิตวทยาด้วยหลักธรรมในคัมภีร์
พระพุทธศาสนาเถรวาท
ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis: CFA) ของ
โมเดล FIRE-UP จากกรอบแนวคิดโมเดล FIRE-UP ที่มีจำนวนตัวแปร ๓๕ ตัวแปร ผู้วิจัยได้เก็บ
ตัวอย่างตามเกณฑ์การกำหนดขนาดตัวอย่างของ Hair และคณะ (เสนอว่ากรณีโมเดลที่มีปัจจัยแฝง
ไม่เกิน ๗ ปัจจัย จำนวนตัวอย่างที่เหมาะสม ๓๐๐ ตัวอย่าง) คอมเลย์และลี (เสนอว่าการวิเคราะห์
องค์ประกอบ จำนวนตัวอย่าง ๓๐๐ ตัวอย่าง อยู่ในเกณฑ์ดี และ กฎหัวแม่มือหรือกฎอย่างง่าย (rule
of thumb) (เสนอว่า จำนวนตัวอย่าง ๓๐๐ ตัวอย่าง อยู่ในเกณฑ์ดี) การวิจัยนี้มีจำนวนองค์ประกอบ
๕ องค์ประกอบ ผู้วิจัยจึงกำหนดจำนวนตัวอย่างตามแนวคิดของนักสถิติข้างต้น จำนวน ๓๐๐
ตัวอย่าง และ ๑๐๐ ตัวอย่าง สำหรับการตรวจสอบยืนยันสมการรูปแบบเต็ม (Full Model)

