Page 250 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 250
๒๒๙
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเชิงบวกและการใช้ประโยชน์จากความโกรธอย่างสร้างสรรค์ ส่วนทาง
พระพุทธศาสนามีทัศนะว่าความโกรธเป็นอกุศลมูลสายโทสะมีเพียงด้านการทำลายล้าง( ด้านลบ) ไม่มี
ผลดี จึงควรระงับหรือกำจัดทิ้งเสีย และการจัดการความโกรธทางพระพุทธศาสนามุ่งเน้นไปที่การ
พัฒนาจิตให้เกิดสติปัญญา ให้เห็นสภาวธรรมของความโกรธตามที่มันเป็น รับรู้ ยอมรับ ให้อภัยทาน
ด้วยเมตตา อย่างไรก็ตามทั้งสองแนวทางมีเป้าหมายเดียวกันคือการควบคุมความโกรธและพัฒนา
จิตใจให้มีความสุขสงบในการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน จากผลการบูรณาการได้ข้อค้นพบที่สำคัญ
คือ การบูรณาการการจัดการความโกรธเชิงพุทธจิตวิทยา (Psychological Buddhism approach
to Anger Management: RRCCFLHR-Model) ที่ประกอบด้วย ๗ เทคนิค คือ ๑) การรับรู้และ
ยอมรับความโกรธ (Recognizing and Accepting Anger) ๒) การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
(Relaxation) ๓) การจัดการกับความคิด (Cognitive Restructuring) ๔) การสื่อสารที่ดี (Better
Communication) ๕) การให้อภัย (Forgiveness) ๖) การปล่อยวาง (Letting Go) ๗) การใช้
อารมณ์ขัน (Using Humor) และ การระบายอารมณ์ (Rage room)
สำหรับเทคนิคการใช้อารมณ์ขันและการจัดสถานที่ระบายอารมณ์เป็นการนำความโกรธ
มาใช้ประโยชน์ด้วยการระบายความโกรธออกมา ซึ่งวิธีนี้กำลังเป็นที่นิยมในการควบคุมความโกรธใน
สังคมปัจจุบัน เพราะผลที่ได้สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์โกรธและลดความตึงเครียดได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะวิธีการระบายอารมณ์โกรธแบบ Rage room ด้วยการทำลายวัตถุสิ่งของตั้งแต่ขนาดเล็กไป
ถึงขนาดใหญ่เช่น ทุบไข่ ทุบโทรศัพท์ ทุบทีวี ทุบรถ หรือ ทุบบ้าน ซึ่งสามารถปลดปล่อยอารมณ์ทาง
กายภาพและลดความเครียดทางจิตใจได้อย่างรวดเร็ว ส่วนพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้ใช้วิธีทั้งสองนี้
เพราะเห็นว่าความโกรธเป็นอกุศลกรรม ควรกำจัดออก ไม่ควรเก็บไว้ การนำความโกรธมาใช้เป็นการ
ตอบสนองความต้องการ (ตัณหา) ย่อมไปเกื้อกูลต่อราคะ (อกุศลมูล ๓ ราคะ โทสะ และ โมหะ) ซึ่ง
ความโกรธไม่ได้ถูกปลดปล่อยไป แต่จะถูกเก็บลงที่ภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึกที่รอวันออกมาทำร้าย
ทำลายในเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น ความโกรธไม่สามารถจัดการได้ด้วยความโกรธ(โทสะ) แต่ระงับได้
ด้วยความไม่โกรธ (อโทสะ) คือ เมตตาและให้อภัยทาน ดังปรากฏในพระพุทธพจน์ ในคาถาธรรมบท
ี่
โกธนวรรคท ๑๗ ใจความว่า “พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะ
คนตระหนี่ด้วยการให้ พึงชนะคนพูดเหลวไหลด้วยคำจริง”
ทั้งนี้ยังสามารถนำผลการวิจัยนี้มาเทียบเคียงกับพระพุทธพจน์ข้างต้นได้ คือ โมเดล
FIRE-UP Model ด้วยค่าน้ำหนักอิทธิพล (Factor loading: FL) ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการแสดง
ความโกรธ (Anger Expression) เท่ากับ .๘๘ .๗๒ .๖๑, .๔๐ และ .๒๕ ตามลำดับ หากคิดในมุม
ร้อยละ(%) อธิบายได้ว่า ปัจจัยการแสดงความโกรธภายในมีผลต่อการแสดงความโกรธที่ร้อยละ ๘๘
รองลงมาเป็นปัจจัยการให้อภัย ร้อยละ ๗๒ ปัจจัยการแสดงความโกรธภายนอก ร้อยละ ๖๑ ปัจจัย
อุปนิสัยความโกรธ ร้อยละ ๔๐ และ ปัจจัยควบคุมความโกรธ มีอิทธิพลต่ำสุด คือ ร้อยละ ๒๕ จากค่า

