Page 246 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 246
๒๒๕
ร้ายต่อกัน บ้างอาจรุนแรงถึงขั้นฆ่ากันตาย หรือฆ่าได้แม้นแต่บิดามารดา พระภิกษุ พระอรหันต์ และ
ย้อนกลับมาฆ่าตัวเองตาย เมื่อบุคคลเกิดการประทุษร้ายต่อกันแล้วหากยังไม่สำเร็จ ย่อมเกิดความคิด
ิ
ที่จะทำให้ผู้ที่เป็นศัตรูประสบความพนาศ โดยมีจิตคิดปองร้าย มีจิตมุ่งร้าย จิตผูกพยาบาท ผูกอาฆาต
จองเวรต่อกัน เรียกว่า พยาบาท (การจองเวร) จะเห็นได้ว่า ลำดับขั้นของการเกิดความโกรธ เริ่มจาก
อรติ ปฎิฆะ โกธะ โทสะ และ พยาบาท ตามลำดับ
ั
ิ
๔) วธีการวดความโกรธ ทางจิตวิทยา วัดความโกรธจากแบบประเมินความโกรธที่วัด
จากพฤติกรรมที่แสดงออกโดยระดับคะแนนเป็นตัวประมาณค่าที่เรียกว่า Likert Scale และใช้
หลักการทางสถิติคาดคะเนระดับความโกรธ และใช้ประสบการณ์ของนักจิตวิทยานำมาประกอบการ
คาดการณ์และแสดงแนวโน้มของการเกิดความโกรธ ในการวิจัยนี้ ได้ใช้ตามวิธีการวัดความโกรธของ
สปิลเบอร์เกอร์ ที่ใช้ค่ามัธยาฐาน (Medain) แทนค่าเฉลี่ย (Mean) อย่างไรก็ตาม จิตวิทยาสมัยใหม่ได้
พยายามพัฒนาเครื่องมือวัดความโกรธจากค่าคลื่นสมอง ค่าความเป็นกรดของเลือด หรือค่าชีพจรและ
การเต้นหัวใจในการวัด ผู้วิจัยเห็นว่าเครื่องมือดังกล่าวมีข้อจำกัดที่ว่าความโกรธที่วัดได้ไม่ตรง
สภาวธรรมของความโกรธที่แท้จริง คือ ไม่เป็นค่าความโกรธในปัจจุบัน ที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า
“ขณะปัจจุบัน” ดังนั้น ค่าที่วัดทางจิตวิทยาเป็นค่าความโกรธในอดีต การจัดการความโกรธเป็นเพียง
การคาดคะเนทางสถิติร่วมกับการคาดการณ์ทางจิตวิทยานำมาประเมินสถานการณ์และหาวิธีการ
แก้ไข ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าไม่ทันต่อสถานการณ์ความเป็นจริงเพราะความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เพราะความ
โกรธไม่ใช่สิ่งที่ห้าม (stop) ควบคุม (Control) หรือ ระงบ (Conquer) ได้ทันที แต่ความโกรธเป็นสิ่งที่
ั
กำหนดรู้ได้ทันทีในขณะปัจจุบันด้วยสติ (อริยสัจ ๔ ข้อ แรกคือ ทุกข์ ในการวิจัยนี้ หมายถึง ความ
โกรธ ต้องกำหนดรู้ให้ทันกาล ส่วนทางจิตวิทยาสอนเรื่องทุกข์ (ความโกรธ) ให้ละหรือจัดการมันจึงไม่
ตรงกับหลักการทางพระพุทธศาสนาที่สอนการละให้ละที่สมุทัยต้นเหตุแห่งทุกข์ คือ อกุศลมูล ๓ และ
อาฆาตวัตถุ ๑๐
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ความโกรธเป็นสภาภาวะธรรมที่มันเกิดแล้ว (ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นอดีต
ย้อนกลับไปแก้ไม่ให้โกรธไม่ได้) เราต้องยอมรับ (Accept) ว่าโกรธแล้วด้วยสติและใช้เมตตาเข้าไป
แทนที่ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิดประทุษร้าย คิดพยาบาทอาฆาตจองเวร ให้มีสติ
ุ
ั
รู้ทันปัจจุบันขณะความโกรธก็ระงับลงได้อย่างอตโนมัติ ปัจจุบันในทางพระพทธศาสนา แบ่งออกเป็น
๒ แบบ คือ ๑) ปัจจุบันขณะ ต้องกำหนดที่รูปธรรม คือ อาการทางกาย เช่น การหายใจ การตัวสั่น
อาการปวดหัว เป็นต้น และทางวาจาเช่น การพูดความจริง น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป เป็นต้น ต้องกำหนดให้
ทันอารมณ์โกรธในปัจจุบันขณะ และ ๒) ปัจจุบันสันตติ ต้องกำหนดที่นามธรรม คือ เมื่อจิตโกรธก็รู้ว่า
โกรธ จิตคิดพยาบาทอาฆาตจองเวรก็รู้ เมื่อมีสติทุกขณะจิตความโกรธย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ อันเนื่องจาก
ธรรมชาติของจิตที่หนึ่งขณะจิตความโกรธเกิดพร้อมสติหรือเมตตาไม่ได้ นั้นหมายถึงเมื่อเกิดโกรธเมื่อ
นั้นขาดสติ ขาดเมตตา ในทางตรงกันข้ามเมื่อมีเมตตาเมื่อนั้นไม่เกิดความโกรธ

