Page 33 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 33
๑๕
๑) กำรเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
ผู้วิจัยใช้รูปแบบการศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary study) โดยค้นคว้าและรวบรวม
ข้อมูลความโกรธ จากเอกสารแหล่ง ๒ แหล่ง คือ
(๑) เอกสารชั้นปฐมภูมิ (Primary Source ) คือ พระไตรปิฎกภาษาไทย มหาจุฬาลง
ุ
กรณราชวิทยาลัย พทธศักราช ๒๕๓๙ ที่เกี่ยวกับความโกรธหรือโทสะ อาทิเช่น โกธนสูตร ฆัตวาสูตร
อักโกสกสูตร ทุพพัณณิยสูตร วิตักกสัณฐานสูตร เป็นต้น
(๒) เนื้อหาจากเอกสารขั้นทุติยภูมิ (Secondary source) ได้แก อรรถกถา ฎีกา และ
่
ปกรณวิเสสที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจากหนังสือตำราพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่เกี่ยวกับความโกรธหรือ
โทสะ รวมถึง ตำราจิตวิทยา วิทยานิพนธ์ บทความ และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภาษาไทยและ
ภาษาต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
๒) กำรวิเครำะห์ข้อมูล (Data analysis)
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ในการวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
จากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิและแหล่งทุติยภูมิ โดยผู้วิจัยจะวิเคราะห์และตีความหมาย
ของเนื้อหาจากข้อความในพระไตรปิฎกโดยตรงและใช้อรรถกถาและฎีกาช่วยในการตีความหมายแฝง
ที่ซ่อนอยู่ (Latent content) และใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยาสมัยใหม่ช่วยอธิบายเสริมในบริบทของคนไทย
จากนั้นวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อสร้างกรอบแนวคิดองค์ความรู้การวิจัยต่อไป
๓) สร้ำงกรอบแนวคิดองค์ควำมรู้ (Knowledge Concepts)
ขั้นตอนการสร้างกรอบแนวคิดองค์ความรู้นี้จะนำข้อมูลจากการวิเคราะห์เนื้อหาการ
ั
ิ
่
ุ
ั
ั
ั
จดการความโกรธตามหลักจิตวทยาวิเคราะห์และสงเคราะห์รวมกบหลักธรรมในคมภีร์พระพทธศาสนา
เถรวาท
๑.๗.๒ เป็นกำรวิจัยเชิงปริมำณ (Quantitative research)
การวิจัยนี้ใช้รูปแบบการศึกษาเชิงสำรวจ (Survey Study) โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์
ข้อมูลด้วยการสร้างโมเดลสมการความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (Structural Equation Modeling:
SEM) และใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis:
CFA) มีขั้นตอนการวิจัยดังนี้
๑) กำหนดปัญหาการวิจัย สำหรับการวิจัยนี้ไม่มีการตั้งสมมติฐานการวิจัย
๒) ทบทวนวรรณกรรม จากกรอบแนวคิดองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย (Knowledge
Concept) ที่ได้จากการวิจัยเชิงคุณภาพ

