Page 37 - จุลสารฉบับพิเศษ เล่าขานตำนานศาลายา ประจำปี 2563
P. 37
จุลสาร “เล่าขานต านานศาลายา” ฉบับพิเศษ | ๒๙
๔
รักษำให้หำยได้” นอกจากนี้ลาลูแบร์ยังกล่าวถึงการแพทย์อินเดียและจีนด้วย
้
การสรุปว่า “หมออินเดียนั้นลวงโลกส ำคัญนัก และหมอชำวจีนนั้นยังหนักขอขึ้น
๕
ไปอีกเป็นไหนๆ” และเปรียบเทียบว่าความแตกต่างระหว่างหมอยาชาวจีนกับ
หมอชาวยุโรป อยู่ตรงที่ชาวจีน “มักเยียวยำคนไข้ด้วยอุบำยอันสุขุมและ
คอยปลุกน ้ำใจให้แช่มชื่นอยู่เป็นพื้น ส ำหรับหมอยุโรปนั้นจะประเดให้คนไข้กิน
๖
แต่ยำต่ำงๆ ขนำดแล้วขนำดเล่ำ” ลาลูแบร์อาจรู้สึกไม่ประทับใจหมอจีนมากนัก
โดยกล่าวว่า “ข้ำพเจ้ำเคยอ่ำนพบว่ำในประเทศจีนนั้นไม่มีโรงเรียนแพทย์เสีย
ด้วยซ ้ำ และได้รับอนุญำตให้ประกอบโรคศิลป์ได้ด้วยกำรสอบไล่อย่ำงง่ำยๆ ในที่
๗
ประชุมผู้พิพำกษำตุลำกำร หำใช่ในที่ประชุมแพทย์ผู้ทรงวิทยำคุณไม่”
ในส่วนที่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บในสมัยนั้น ลาลูแบร์กล่าวว่า จ าพวกโรค
ที่เป็นกันชุมในกรุงศรีอยุธยานั้น คือ โรคป่วงและโรคบิด ซึ่งชาวยุโรปที่เข้าไปสู่
ประเทศไทยก็ยากที่จะรักษาตัวให้พ้นจากโรคทั้งสองนี้ได้เช่นเดียวกับ
ชาวพื้นเมือง “ชำวสยำมนั้น ลำงทีก็เป็นตัวร้อน (ไข้จับสั่น) ซึ่งพิษอำจแล่นขึ้นสู่
สมองโดยง่ำย และอำจเป็นโรคปอดบวมได้ หำกกำรบวมตำมร่ำงกำยนั้นมีน้อย
และอำกำรไข้สั่นก็มีติดต่อกันไปโดยไม่ท ำให้ถึงแก่ชีวิต ดังที่เป็นอยู่ในเขตร้อน
๘
โดยทั่วไป”
๔ ลาลูแบร์, อ้างแล้ว หน้า ๒๗๘
๕ ลาลูแบร์, อ้างแล้ว หน้า ๒๗๙
ลาลูแบร์, อ้างแล้ว หน้า ๒๘๐
๖
๗ ลาลูแบร์, อ้างแล้ว หน้า ๒๗๘
๘ ลาลูแบร์, อ้างแล้ว หน้า ๒๘๐ - ๒๘๑