Page 59 - ประวัติศาสตร์จานเดียวพม่า
P. 59
ประวัติศาสตร์จานเดียว
พระเจ้าตะเบงชเวตี้กับพระเจ้าบุเรงนอง ทั้งสองพระองค์นั้นเลื่อมใสศรัทธา
ในพุทธศาสนาไม่แตกต่างกัน อาจเป็นเพราะในช่วงที่พระเจ้าตะเบงชเวตี้
ครองอำานาจนั้น พระองค์ใช้เวลาไปกับการรบทัพจับศึกมากนั่นเอง อย่าลืม
ว่าทรงครองราชย์ตั้งแต่อายุยังไม่ครบ ๑๗ ด้วยซ้ำา ต้องทำาศึกเกือบตลอด
ทั้งศึกในและศึกนอก และยังมีพระชนมายุค่อนข้างสั้น ขณะที่พระเจ้าบุเรง
นองใช้เวลาปราบปรามเมืองต่างๆ อยู่ไม่นาน จากการปูทางของพระเจ้าตะ
เบงชเวตี้ ดังนั้นถ้าจะบอกว่าทั้งสองพระองค์นับเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ก็คงไม่
ผิดนัก
หลังจากรวมแผ่นได้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว พระเจ้าบุเรงนองก็เริ่มภาระ
กิจทำานุบำารุงพระศาสนา โดยหวังจะเผยแพร่พุทธศาสนานิกายเถรวาทไป
ทั่วภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ทรงตั้งเอาพระเจ้าอนุรุทธและพระเจ้าจันสิตตา
เป็นแบบอย่าง ทรงสร้างวัดและวิหารมากมายทั่วประเทศ เสด็จไปยังพุกาม
ศูนย์กลางพุทธศาสนาในอดีต ทรงบูรณะศาสนาสถานจำานวนมาก เรียก
ว่าการเป็นพระเจ้าสิบทิศของพระองค์นั้น ส่วนหนึ่งสามารถยังประโยชน์มาสู่
พระพุทธศาสนา ทำาให้พม่าเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาที่หยั่งรากลึกมานาน
ให้ยิ่งกระชับแน่นมากขึ้นไปอีก
มีเรื่องเล่ากันว่าพระเจ้าบุเรงนองและพระมเหสีนั้นเคยถวายเส้น
พระเกศาเป็นพุทธบูชาโดยให้นำาไปสร้างเป็นแส้ อย่าเพิ่งคิดว่าพระองค์จะ
ใจถึงถวายหมดทุกเส้น ก็คงจะถวายพอเป็นพิธี จะกี่เส้นมากน้อยเท่าไหร่ก็
ว่ากันไป จะให้ถอนหมดทุกเส้นเห็นจะไม่ไหว อันนี้แสดงว่าคนพม่าสมัยก่อน
ไว้ผมยาว เหมือนอย่างเรื่องที่เล่าว่าคนพม่าโดยเฉพาะสตรีที่ไว้ผมยาวๆ เขา
สยายผมปูให้พระสงฆ์เดิน นัยว่าจะได้บุญมาก คงเพราะแดดมันร้อน เวลา
อยู่ในเขตวัดเขาจะห้ามไม่ให้สวมรองเท้า สุภาพสตรีก็เลยใช้ผมของตัวเอง
นั่นล่ะปูรองให้พระสงฆ์เดินผ่าน ว่าแต่เดินทับผมของสตรีนี่จะผิดวินัยสงฆ์รึ
เปล่าก็ไม่แน่ใจ
๕๑