Page 63 - ประวัติศาสตร์จานเดียวพม่า
P. 63
ประวัติศาสตร์จานเดียว
ปี พ.ศ. ๒๑๓๕ พระเจ้านันทบุเรง เรียกชุมนุมพลอีกครั้งหนึ่ง คราว
นี้โปรดเกล้าฯ ให้ พระมหาอุปราชา เป็นแม่ทัพใหญ่นำาทัพลงมาปราบอยุธยา
เป็นครั้งที่ ๕ พระมหาอุปราชานี่เป็นชื่อตำาแหน่ง คล้ายๆ กับตำาแหน่งวังหน้า
หรือรัชทายาท ซึ่งก็คือ เมงกะยอชวา ที่เติบโตมาคู่กับพระนเรศวร์ที่กรุงหง
สาวดี คราวนี้ทรงตั้งความหวังเอาไว้มากทีเดียว
ศึกครั้งนี้พระนเรศวร์มิได้เป็นเพียงวังหน้าเช่นแต่ก่อน แต่ครั้งนี้
พระองค์ขึ้นเถลิงราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาเป็น สมเด็จพระนเรศวร
กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทั้งสองพระองค์เข้าชนช้างกันตามวิถีของกษัตริย์
ผลการรบนั้นเป็นอย่างที่เราทราบๆ กัน พระมหาอุปราชาทิวงคตบนคอ
ช้าง ทัพพม่าก็แตกร่นไม่เป็นขบวน พระเจ้าแปร พระเจ้าตองอู และพระเจ้า
เชียงใหม่ เห็นดังนั้นจึงตัดสินใจถอนทัพกลับ
การปราชัยครั้งนี้เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของความอ่อนแอของแผ่น
ดินพม่า แผ่นดินพม่าเริ่มทรุดโทรม พื้นที่เพาะปลูกรกร้าง จำานวนประชากร
ลดลงอย่างน่าใจหาย แต่ประชากรหนูกลับเพิ่มมากขึ้น เกิดโรคระบาดอย่าง
หนักอันมีสาเหตุมาจากพวกหนู ประกอบกับระบบสาธารณสุขที่ไม่ดีพอ
บรรดาหนูบุกรุมเข้ากินผลผลิตเสียหาย ข้าวปลาอาหารฝืดเคือง ต้องเกณฑ์
ไพร่พลมากำาจัดหนูกันยกใหญ่
ส่วนทางราชสำานักนั้นก็วุ่นวายไม่แพ้กัน พวกมอญเริ่มก่อกบฎและ
เข้าร่วมกับกองทัพของพระนเรศวรจนสามารถยึดเอาเมาะตะมะไว้ได้ พระ
ราชโอรสของพระเจ้านันทบุเรงที่ครองเมืองแปรก็เอาใจออกห่าง ประกาศ
ตนเป็นอิสระ ฝั่งตองอูและอังวะก็เอาอย่างบ้าง ล้านช้างก็ฉวยโอกาสบุกเข้า
จะตีเอาเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่เหลียวไปเหลียวมาไม่เห็นว่าใครจะช่วย
ได้ (เพราะตอนนั้นก็คงวุ่นวายกันไปหมด ไม่รู้ใครขึ้นกับใคร) จึงขอความช่วย
เหลือจากกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรก็ไม่ปฏิเสธ ทรงแต่งทัพขึ้นไป
ช่วยนครเชียงใหม่และประกาศว่าบัดนี้เชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาแล้ว
๕๕