Page 24 - Book
P. 24
ได้คนเดียวอย่างนี้ ลองคิดใหม่ว่าเราไหม เรามองความงามแบบนี้ คืออย่างน้อยมันอาจจะมี
กลุ่มคนสักกลุ่มหนึ่งที่ เห้ย มุมมองคล้าย ๆ กัน ความงามแบบนี้มันมาจากชุดความคิดของ
คนกลุ่มนี้ ซึ่งเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้นนะ มันเป็นกลุ่ม อย่างน้อยก็ต้องคิดว่า เห้ย เราก าลัง
สื่อสาร แทนที่เราจะคิดแต่ว่าเราสื่อสารกับตัวเองตลอดเวลา เราลองคิดว่าเราสื่อสารกับคน
กลุ่มนี้ก็ได้ คือแทนที่เราจะคิดว่าเราสื่อสารกับตัวเอง มันเป็นความแตกต่างอันหนึ่งของ
โฆษณากับงานศิลปะ คือโฆษณา MASS ระดับหนึ่งใช่ไหมครับ แล้วต้องสื่อสารกับคนระดับ
MASS แต่พอ Fine Art ทุกคนสื่อสารแบบ MASS ไม่ได้ มันหมายความว่าศิลปะห้ามสื่อสาร
ระดับ MASS เลยก็ไม่ใช่ บางคนสื่อสารระดับ MASS ได้ Abramovic สื่อสารระดับ MASS
ได้ Yayoi Kusama สื่อสารระดับ MASS ได้ ไม่ว่าจะด้วยกลวิธีใดก็ตามงานเขาไปถึงระดับ
MASS ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน วิธีแก้คือให้ลองแทนที่จะ MASS ลอง Scope ให้มันเป็นเราแล้ว
กัน ลองกลุ่มหนึ่ง ยกตัวอย่างผมท างานผมจะสื่อสารเฉพาะกับกลุ่มคนที่เป็นโรคซึมเศร้า
สมมุติ โรคซึมเศร้าโรคตัวเองเลย แต่ผมก าลังจะสื่อสารกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกัน
มันก็จะเกิดการ Share จากอัตตามาก ๆ มันก็เริ่มมีมุมอนัตตาหน่อย ๆ ก็ช่วยให้การสื่อสาร
มันสัมฤทธิ์ผลได้ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วพอเขาท าของเขาเอง ผมว่ามันอยู่ที่
ประสบการณ์ พอท าไปสักพักเราจะเริ่มรู้ว่าคนที่รับสารเราได้คือใคร พอเราอยู่ในชีวิตจริงเรา
อยู่ในโลกของงานศิลปะจริง ๆ สุดท้ายศิลปะมันก็ยังอยู่ในหมวดของการสื่อสารแบบอาจจะ
ไม่ได้สื่อสารแบบตรงไปตรงมามันอาจจะเป็นการสื่อสารด้วยกุศโลบายบ้าง สื่อสารด้วยกลวิธี
บ้าง สื่อสารแบบภาพลวงบ้าง ศิลปะมันมาจากมายา มันคือโลกของมายาแบบหนึ่งแต่
สุดท้ายเราจะรู้เอง ประสบการณ์จะบอกเองว่าหมวดของมายาของเรานี้เป็นแบบไหน แต่
ในช่วงเริ่มต้นนี้ยาก ที่คณะจิตรกรรมผมลองดูเนอะ ก็มีเด็ก Anti บ้าง มีเด็กไม่เข้าใจบ้าง มัน
ก็ยังติดกับ ‘เห้ย ท าไมเราต้อง Share วะ’ คือก็ไม่รู้จะตอบยังไง ผมก็ไม่รู้ที่คิดผมถูกหรือ
เปล่านะครับ มันอาจจะไม่ถูกก็ได้ ยังฟันธงไม่ได้ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าถูกหรือผิด แต่แน่ ๆ ว่า
อันนี้คือข้อแตกต่างอันหนึ่งที่ชัดเจนระหว่าง โฆษณา ภาพยนตร์ กับงานศิลปะในบางกลุ่ม
คือเรื่องของกลุ่มผู้ชม Audience