Page 13 - สิริบันยัน
P. 13
13
เสียเมือง อย่าเสียพระ
ลูกหลานสักการะ ให้ไปประตกเมือง
คำสั่งเสียของพระยานคร กับพระคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต
เป็นที่รับทราบกันว่า พระพุทธสิหิงค์ในประเทศไทยนั้นมี สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
๓ องค์ คือ องค์ที่เชียงใหม่ องค์ที่กรุงเทพมหานคร ที่ประดิษฐาน มหาราช ทรงมีราชโองการให้สมเด็จ
ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช พระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาถ
ยังไม่นับรวมพระพุทธสิหิงค์ที่สร้างในท้องถิ่นต่างๆ อีก ซึ่งมีจำนวน เสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่ แล้วอัญเชิญ
หลายองค์ ที่มีรูปทรงความงดงามตามศิลปะของช่างผู้สรรค์สร้าง พระพุทธสิหิงค์ กลับมาประดิษฐาน
ในท้องถิ่นนั้นๆ ยังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
ที่นครศรีธรรมราชเอง ก็มีพระพุทธสิหิงค์หลายพระองค์ ตราบเท่าปัจจุบัน มีการเปิดให้มหาชนได้ถวายสรงน้ำในช่วง
แต่องค์ที่เลื่องชื่อที่สุด คงเป็นพระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่ วันสงกรานต์เป็นประจำทุกๆปี
หอพระ ศาลากลางประจำจังหวัด และที่วัดบ้านนา (อินทคีรี) พระพุทธสิหิงค์ที่วัดบ้านนา (อินทคีรี) องค์นี้ มีความเป็นมา
ซึ่งจะเป็นเรื่องราวที่จะเปิดประเด็นในฉบับนี้ คู่บ้านคู่เมืองนครอย่างช้านาน หลายกระแสยอมรับว่าเป็น
พระพุทธสิหิงค์ เดิมมีประวัติความเป็นมา ตามการบันทึกเป็น พระพุทธสิหิงค์ที่เก่าแก่องค์หนึ่งในบ้านเรา จากการได้เข้าไปสักการะ
ลายลักษณ์อักษรในปัจจุบัน ว่าเกิดจากการสร้างโดยพระมหากษัตริย์ องค์จริงทางผู้เขียน จึงได้สัมภาษณ์ท่านพระครูวิมลอินทโชติ
แห่งลังกา ๓ พระองค์ ทรงร่วมกันสร้าง โดยอาราธนาพระอรหันต์ (ปรีชา) เจ้าอาวาสวัดบ้านนารูปปัจจุบัน ท่านได้เมตตาเล่าเรื่องราว
มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมีการตรวจสอบให้ถูกตามมหาปุริส ความเป็นมาของพระพุทธสิหิงค์วัดบ้านนาให้ผู้เขียนฟัง จากคำ
ลักษณะของพระพุทธองค์ โดยมหาชนชาวลังกาได้ร่วมนำเอาโลหะ บอกเล่าสืบมาจากแม่เฒ่า ผู้เป็นยายแท้ๆ พ่อท่าน มีใจความว่า
มีค่ามาร่วมหลอม และได้เป็นพระปฎิมาประจำอาณาจักรลังกา “จากที่ “แม่เฒ่า” (ยาย) ของอาตมา (พระครูวิมลอินทโชติ)
ต่อมาพระเจ้าศรีธรรมโศกแห่งอาณาจักรศรีวิชัย ได้ทรงแผ่ ได้เล่าให้ฟัง แต่เดิมมีอาณาจักรสองอาณาจักร คือเมืองสุโขทัย
พระราชอำนาจไปถึงเกาะลังกา จึงทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ทางเหนือ และเมืองนครศรีธรรมราชทางใต้ ทางเหนือมี
มาประทับที่นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรใน พ่อขุนรามคำแหงครองเมือง ทรงต้องการแผ่ราชอำนาจลงทางใต้ จึงส่ง
ขณะนั้น ซึ่งเป็นยุคเดียวกับพระร่วงเจ้าได้ครองเมืองสุโขทัย ราชทูตมายังเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งสมัยนั้น มีพญาศรีธรรมโศกราช
พระองค์ได้มาผูกสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรศรีวิชัย พระเจ้า ปกครอง ราชทูตได้แจ้งความประสงค์แล้ว พญาศรีธรรมโศกทรงตรัส
ศรีธรรมโศกจึงทรงส่งพระพุทธสิหิงค์ขึ้นไปประดิษฐานยังสุโขทัย ขึ้นมาเป็นเชิงปริศนาให้พ่อขุนรามคำแหงตรัสคิดว่า “หัวอุด - ท้ายอุด”
จนกระทั่งสุโขทัยตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จ ทำให้ราชทูตกลับไปกราบทูลแก่พ่อขุนรามคำแหง ทำให้พระองค์
พระบรมราชาธิราช ที่ ๑ พระองค์ทรงนำพระพุทธสิหิงค์ไปยัง ทรงต้องเสด็จราชดำเนินลงมายังเมืองนครศรีธรรมราช
กรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้มีผู้นำไปประดิษฐานยังเมืองกำแพงเพชร พญาศรีธรรมโศกจึงยื่นปริศนาคำว่า “หัวอุด - ท้ายอุด” ให้
และเชียงราย ตามลำดับ ในทางล้านนา พระเจ้าแสนเมืองมา พ่อขุนรามคำแหงทรงไขปริศนาของคำว่าหัวอุดท้ายอุด ถ้าทรง
ทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงรายได้ จึงทรงนำพระพุทธสิหิงค์ กับ แก้ได้จะรับเป็นพันธมิตร แต่ถ้าทรงแก้ไม่ได้ต้องทรงแลกกับการ
พระแก้วมรกต มาประดิษฐานที่เวียงพิงค์บุรีศรีเชียงใหม่ ต่อมา ปลงพระชนม์ชีพของตน พ่อขุนรามคำแหงจึงทรงระลึกภูมิประเทศ
ใน พ.ศ. ๒๒๐๕ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงตีเมืองเชียงใหม่ได้ ในระหว่างที่เดินทางมา จึงทรงเห็นว่า ถ้าทรงลงมาตีเมือง
จึงทรงนำพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ นครศรีธรรมราช พระองค์อาจเพลี้ยงพล้ำเสียทีจนมิอาจกลับไป
กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา ๑๐๕ ปี สุโขทัยได้ จะเดินหน้าต้องเผชิญกองทัพของเมืองนครฯ ครันถอย
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ชาวเชียงใหม่ กลับขึ้นก็ต้องเผชิญทัพของหัวเมืองบริวารของเมืองนครฯ
ได้เชิญพระพุทธสิหิงค์กลับสู่เชียงใหม่อีกครั้ง จนถึงรัชสมัยของ ทั้งทางบกทางทะเล พระองค์จึงตกลงขอเป็นพันธมิตร ในเวลาเดียวกัน