Page 24 - Modern Management11
P. 24
นโยบายสาธารณะกับการบริหารจัดการสมัยใหม่
2. กลยุทธ์ธุรกิจหรือกลยุทธ์ในการแข่งขัน (Business/Competitive Strategy)
เป็นกลยุทธ์ที่มีความชัดเจนและเจาะจงกว่ากลยุทธ์บริษัท โดยผู้บริหารหน่วยธุรกิจ (Business Unit
Manager) จะให้ความส าคัญกับการแข่งขันในธุรกิจของตน โดยพยายามสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
(Competitive Advantage) ให้เหนือกว่าคู่แข่งขัน ซึ่งเราสามารถจ าแนกกลยุทธ์ในการแข่งขันออกเป็น
3 ประเภทได้แก่
1) กลยุทธ์ผู้น าด้านต้นทุน (Overall Cost Leadership Strategy) ธุรกิจสามารถผลิตสินค้า หรือบริการ
และจัดส่งแก่ลูกค้า โดยมีต้นทุนต ่ากว่าคู่แข่งขัน ท าให้สามารถตั้งราคาและท ากิจกรรมทางการตลาดได้หลาย
รูปแบบ ซึ่งสามารถด าเนินการโดยประสบการณ์ หรือการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต
2) กลยุทธ์ความแตกต่าง (Differentiation Strategy) ธุรกิจจะสร้างสินค้าและบริการให้มีความ
แตกต่างจากคู่แข่งโดยความแตกต่างนี้จะต้องได้รับความส าคัญหรือคุณค่าจากลูกค้า เช่น คุณภาพ และ
ภาพลักษณ์เป็นต้น
3) กลยุทธ์การให้ความส าคัญ (Focus Strategy) ธุรกิจจะให้ความส าคัญกันส่วนตลาดที่มีความ
เฉพาะ ท าให้สามารถทุ่มเททรัพยากร และด าเนินงานตอบสนองกับกลุ่มลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่งที่มีตลาดกว้าง
3. กลยุทธ์ตามหน้าที่ของธุรกิจ (Functional Strategy) เป็นกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการที่มีระยะเวลาสั้น ซึ่งจะ
ด าเนินงานเพื่อตอบสนองและสนับสนุนกลยุทธ์ในการแข่งขัน โดยผู้บริหารจะกระจายกลยุทธ์ลงในแต่ละ
หน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิตและการด าเนินงาน และทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น เพื่อให้
การด าเนินงานเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจมีประสิทธิภาพผลที่เป็นรูปธรรมการน ากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
ถึงแม้ว่าการก าหนดกลยุทธ์ จะเป็นงานส่วนที่ส าคัญในกระบวนการจัดการเชิงยุทธ์และอนาคต
ขององค์กร แต่เราจะทราบว่ากลยุทธ์ที่ก าหนดขึ้นจะมีผลดีหรือไม่ ก็ต่อเมื่อกลยุทธ์นั้นถูกน าไปใช้งานแล้ว
เท่านั้น ดังนั้นการน ากลยุทธ์ไปปฏิบัติจึงเป็นขึ้นตอนส าคัญทางการเชิงกลยุทธ์ ที่ท าให้แนวคิดเชิงกลยุทธ์
ประสบความส าเร็จในชีวิตจริง โดยผู้มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์ (Carry out
Strategic Plans) ต้องค านึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ต่อไปนี้
- เทคโนโลยี
- ทรัพยากรมนุษย์
- ระบบค่าตอบแทนและการจูงใจพนักงาน
- กระบวนการตัดสินใจและรูปแบบการบริหารงานของผู้บริหาร
- ระบบงาน โครงสร้าง และวัฒนธรรมองค์การ
ผู้ที่น ากลยุทธ์ไปปฏิบัติมิใช่เพียงมีความรับผิดชอบต่อความส าเร็จ หรือล้มเหลวในการด าเนินกล
ยุทธ์เท่านั้น แต่ความรับผิดชอบของเขาจะเกี่ยวข้องถึงความอยู่รอดขององค์กร โดยเขาต้องพิจารณาถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ถ้าปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีผลกระทบต่อ
ปัจจัยอื่น การน ากลยุทธ์ไปปฏิบัติให้เป็นผลส าเร็จจะเกิดขึ้นจากความเข้าใจและความร่วมมือทั้งองค์กร โดย
ดร. สุกฤตา สุวรรณกฤติ
24