Page 10 - 09_กฎหมายอนทเกยวของกบการปฏบตหนาท_Neat
P. 10

๓


                                                       º··Õè ñ



                                          ÊÔ·¸ÔáÅÐàÊÃÕÀÒ¾μÒÁÃѰ¸ÃÃÁ¹ÙÞ



                 ÊÔ·¸ÔáÅÐàÊÃÕÀÒ¾μÒÁÃѰ¸ÃÃÁ¹ÙÞ

                             ในอดีตเปนเวลานานหลายศตวรรษที่มนุษยพยายามหาคําตอบที่วามนุษยทุกคนควรมีสิทธิ
                 ประเภทหนึ่งอันเปนสิทธิประจําตัว ไมสามารถโอนใหแกกันได และไมอาจถูกทําลายลงไดโดยอํานาจ
                 ใด ๆ ขณะเดียวกันก็ไดมีการตอสูดิ้นรนเพื่อใหไดมาซึ่งสิทธิเชนวานั้นตลอดมาระหวางผูใตปกครอง

                 และผูมีอํานาจปกครอง  ดังนั้น จึงเกิดแนวความคิดในเรื่องของ “กฎหมายธรรมชาติ (Natural law)
                 และสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Rights)” เพื่อจํากัดอํานาจของรัฐ เนื่องจากผูใชอํานาจปกครอง

                 และผูอยูใตปกครองมักมีความขัดแยงกันอยูเสมอ เนื่องจากผูอยูใตอํานาจปกครองของรัฐพยายาม
                 ดิ้นรนที่จะมีสิทธิเสรีภาพใหมากที่สุดเทาที่จะมีได แตในขณะเดียวกัน ผูมีอํานาจปกครองรัฐก็มีแนวโนม
                 ที่จะใชอํานาจอยางเต็มที่เสมอ

                             กฎหมายธรรมชาติ (natural law หรือ jus naturale) หมายถึง กฎเกณฑทั่วไปที่เปน
                 สากลไมเปลี่ยนแปลงและไมถูกจํากัดดวยเวลาและสถานที่โดยมนุษยทุกคนสามารถรับรูกฎเกณฑนั้น

                 ไดจากสามัญสํานึกของตนเอง มิไดเกิดจากการบัญญัติจากฝายบานเมือง ตลอดจนมีสภาพบังคับและ
                 ผูกพันมนุษยทุกคนเปนการทั่วไป กลาวคือ กอใหเกิดหนาที่ตองปฏิบัติตามไมวาจะอยู ณ ที่ใดหรือเวลาใด
                 นอกจากนี้กฎเกณฑดังกลาวยอมมีคาบังคับที่เหนือกวากฎหมายที่มนุษยบัญญัติขึ้น ดังนั้นกฎหมาย

                 บานเมืองจะขัดกับกฎหมายธรรมชาติมิได ดังนั้นนักนิติศาสตรที่ยึดมั่นในแนวคิดสํานักกฎหมายธรรมชาติ
                 จึงเห็นวากฎหมายบานเมืองที่ขัดกับกฎหมายธรรมชาติจะสิ้นผลไปหรือใชบังคับไมได

                             สวนสิทธิธรรมชาติ (natural rights) หมายถึง ประโยชนหรือความชอบธรรมที่ติดตัวมนุษย
                 มาแตกําเนิดซึ่งไมอาจโอนใหแกกันและไมอาจถูกลวงละเมิดดวยอํานาจใดๆ  มนุษยสามารถรับรูสิทธิ
                 ดังกลาวมีอะไรบางดวยเพราะมนุษยมีเหตุผลจึงสามารถเขาถึง “เหตุผลตามธรรมชาติ” วาสิ่งใดผิด

                 สิ่งใดถูกและสิ่งใดที่เขามีความชอบธรรมที่พึงไดรับไมตองมีผูใดบอกกลาว แตเกิดจากสามัญสํานึก
                 โดยความชอบธรรมดังกลาวตั้งอยูบนหลักความตองการขั้นพื้นฐานของมนุษยไมวาจะเปนความตองการ

                 ทางกายภาพหรือทางจิตใจเพื่อเปนหลักประกันความมั่นคงและความปลอดภัยใหเขาสามารถดํารงตน
                 อยูไดในสภาพแวดลอมสมควรกับศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิแหงความเปนคน
                             ทั้งนี้ความตองการทางกายภาพที่มนุษยตองการการรับรองและคุมครอง ไดแก ความมั่นคง

                 ความปลอดภัยในชีวิต รางกาย และทรัพยสิน เปนตน สวนความตองการทางจิตใจของมนุษย ไดแก
                 การเขาสังคมและการรวมตัวในกลุมของตน เปนตน ดังนั้นแนวคิดสิทธิมนุษยชนมีจุดเริ่มตนมาจาก

                 “สิทธิธรรมชาติ” โดยสาระสําคัญของแนวคิดดังกลาวมีวามนุษยทั้งหลายเกิดมาเทาเทียมกัน มนุษย
                 มีสิทธิบางประการที่ติดตัวมาแตกําเนิดจนกระทั่งถึงแกความตาย สิทธิดังกลาว ไดแก สิทธิในชีวิต
                 เสรีภาพในรางกาย และความเสมอภาคซึ่งเปนสิทธิที่มิอาจโอนใหแกกันไดและผูใดจะลวงละเมิดมิได

                 หากมีการลวงละเมิดก็กอใหเกิดอันตรายหรือกระทบกระเทือนตอความเปนคนได
   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14   15