Page 82 - BBLP ejournal2018.docx
P. 82
วารสารเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์
ในการทดลองครั้งนี้ได้ใช้โคที่มีวงรอบการเป็นสัดปกติ โดยระดับความเข้มข้นของฮอร์โมนโปรเจส
เทอโรนในพลาสมาโคหลังจากการถอน CIDR® จากช่องคลอด และฉีด PGF 2α ในโคกลุ่มที่ 1 2 และกลุ่มที่
3 พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.75±0.45 0.67±0.0.48 และ 0.58±0.43 นาโนกรัม/มิลลิลิตร ตามล าดับ (แสดง
ใน Table 2) ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) โดยมีช่วงความเข้มข้นของ P4 ในระดับต ่าสุดถึง
สูงสุดของโคกลุ่มที่ 1 2 และกลุ่มที่ 3 เท่ากับ 0.32-1.73 0.22-1.73 และ 0.22-1.43 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
โดยค่าเฉลี่ยของ P4 ของโคทั้ง 3 กลุ่ม อยู่ในระดับต ่า (P4 ระดับต ่า หมายถึงความเข้มข้นของ P4 ที่ต ่ากว่า
1 นาโนกรัม/มิลลิลิตร ในวันที่ 14 หลังจากการถอน CIDR® จากช่องคลอด และฉีด PGF 2α ดังกล่าว ซึ่ง
เป็นการยืนยันว่าโคทั้ง 3 กลุ่ม ส่วนมากอยู่ในระยะที่เป็นสัด (estrus) โดยเป็นไปตามทฤษฎีที่กล่าวถึงระดับ
P4ที่สูงในระบบหมุนเวียนโลหิตโลหิตที่มีผลต่อการยับยั้ง (negative feedback) การหลั่งฮอร์โมนโกนาโดโท
รพินส์ (GnRh) จากต่อมใต้สมอง (Senger,1997) และระดับ P4 ที่ลดลงจนต ่ากว่า 1 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
ส่งผลต่อการท างานของฮอร์โมนโกนาโดโทรพินส์ (GnRh) โดยสัตว์จะแสดงการเป็นสัดและตกไข่ตามมา
(Senger,1997: Gordon,1996) ซึ่งในการทดลองครั้งนี้ได้ใช้โคที่มีวงรอบการเป็นสัดปกติ (มีวงรอบการเป็น
สัดเฉลี่ย 21.12±2.51 วัน)และมีวงรอบการเป็นสัดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2 วงรอบ ซึ่งได้จากการจดบันทึก
และสืบประวัติทะเบียนของโครายตัว ของฟาร์มเครือข่ายศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพ
อุบลราชธานี ซึ่งเป็นไปได้ว่าโคที่เข้าท าการทดลองส่วนมากมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน
แบบสอดช่องคลอด และฮอร์โมน PGF 2α ได้ดี
นอกจากนี้ในการวัดปริมาณโปรเจสเทอโรนในพลาสมาของโคยังสามารถบอกจ านวนวันในวงรอบ
การเป็นสัดได้ โดยใช้ระดับของฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนเป็นตัวชี้วัด (Menchaca and Rubianes, 2001)
โดยปกติระดับของฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนในช่วงเป็นสัด วันที่ 0 และ วันที่ 1-2 นั้นจะต ่ามากคือ มีค่าตั้งแต่
วัดไม่ได้ จนถึงประมาณ 1 นาโนกรัม/มิลลิลิตร ค่าดังกล่าวจะขึ้นลงอยู่ 2-3 วัน จากนั้นจะสูงขึ้นจนมีระดับ
สูงสุดในรอบแรกของฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน โดยจะพบมากในวันที่ 6 แต่ก็มีบ้างที่จะพบตั้งแต่วันที่ 4
จนถึงวันที่ 8 ของค่าฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนที่วัดได้ที่วัดได้จากระดับสูงสุดในรอบแรกนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ตามรูปแบบของระดับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนของแต่ละวงจร ซึ่งมีค่าได้ตั้งแต่มากกว่า 1 นาโนกรัม/
มิลลิลิตร ไปจนถึงมากกว่า 10 นาโนกรัม/มิลลิลิตร จากนั้นค่าฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนที่วัดได้จะขึ้นสูงสุด
โดยจะยังคงสูงอยู่เช่นนั้น 7-10 วัน ซึ่งอยู่ในช่วง Luteal phase โดยมีระดับสูงสุดของฮอร์โมนโปรเจสเทอ
โรน อยู่ในช่วงนี้ 2-5 รอบ โดยแต่ละรอบจะมีค่ามากกว่า 2 นาโนกรัม/มิลลิลิตร ไปจนถึงมากกว่า 10 นาโน
กรัม/มิลลิลิตร และหลังจากนั้นระดับของฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนจะลดลงจนมีค่าต ่ามากอย่างรวดเร็ว ใน
วันที่ 17-19 และวันที่ 19-22 ซึ่งขึ้นอยู่กับวงรอบของการเป็นสัด ซึ่งมีค่าต ่ามากคือน้อยกว่า 1 นาโนกรัม/
มิลลิลิตร (Larson et al., 2006)
72