Page 100 - 2557 เล่ม 1
P. 100
๑๐๐
จําเลยต้องยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาตามเวลาที่กฎหมายกําหนด เมื่อจําเลยไม่ได้
ดําเนินการจะมากล่าวอ้างในคําร้องไม่ได้ จําเลยไม่ได้โต้แย้งที่นายสมเดชยืนยัน
รับรองเกี่ยวกับความกว้างยาวและพื้นที่ของที่ดินจําเลยส่วนที่รุกล้ําเข้าไปในที่ดิน
ของโจทก์ จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่นายสมเดชยืนยัน การยื่นคําร้องของจําเลย
ยื่นเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกําหนด เมื่อจําเลยลงนามรับทราบการบังคับคดีของ
เจ้าพนักงานบังคับคดีทุกครั้ง หากการดําเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีฝ่าฝืน
ต่อกฎหมายต้องถือว่าจําเลยรับทราบและรู้เหตุถึงการฝ่าฝืนนั้น และให้สัตยาบันใน
การดําเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว คําร้องของจําเลยเป็นคําร้องที่ไม่ชัดแจ้ง
ไม่ได้บรรยายหรือระบุว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
ไม่สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ขอให้ยกคําร้องและให้จําเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
แทนโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคําสั่งยกคําร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จําเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จําเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปงญหาต้องวินิจฉัยในประการแรกว่า คําร้องของจําเลย
ที่ขอให้มีคําสั่งเพิกถอนการบังคับคดีต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของระยะเวลาตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ วรรคสาม หรือไม่ ในข้อนี้ปรากฏว่า
ตามคําร้องจําเลยกล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๕
ให้จําเลยรื้อถอนอาคารไม่มีเลขที่เฉพาะส่วนที่รุกล้ําออกไปจากที่ดินของโจทก์
โฉนดเลขที่ ๒๑๙๔๐๖ ตําบลบางจาก อําเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมาโจทก์นํา
เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีหลายครั้ง ครั้งแรกรื้อถอนแนวรั้วสังกะสี
และอิฐมอญ ครั้งที่สอง รื้อถอนแนวผนังอาคารชั้นเดียวบริเวณด้านหลังและส่วน
ของหลังคาที่รุกล้ําเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งหมด ครั้งสุดท้ายรื้อถอนผนังอาคาร
ทั้งสองชั้น บริเวณด้านหลังที่ดินพิพาท มีแนวกว้างประมาณ ๓.๖ เมตร ในการ
ดําเนินการบังคับคดีเป็นการบังคับคดีเกินกว่าคําพิพากษาของศาลชั้นต้น ตามคําพิพากษา
ของศาลชั้นต้นไม่ได้กําหนดให้จําเลยรื้อถอนอาคารออกไประยะเท่าใดเพียงแต่กําหนดให้