Page 43 - 2557 เล่ม 1
P. 43
๔๓
คดีทั้งสองสํานวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียก
โจทก์ทั้งสองสํานวนว่า โจทก์ เรียกจําเลยในสํานวนแรกว่า จําเลยที่ ๑ และเรียก
จําเลยในสํานวนหลังว่า จําเลยที่ ๒
โจทก์ฟ้องจําเลยทั้งสองสํานวนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ
และนับโทษจําเลยที่ ๒ ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๐๔๖/๒๕๕๐ ของ
ศาลจังหวัดชุมพร
จําเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จําเลยที่ ๒ รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับ
จําเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษากลับว่า จําเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่อง
กระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗,
๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๘๓ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น
จําคุก ๑๐ ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้
ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จําคุก ๖ เดือน ฐานร่วมกัน
พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
จําคุก ๖ เดือน รวมจําคุก ๑๐ ปี ๑๒ เดือน นับโทษจําเลยที่ ๒ ต่อจากโทษใน
คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๐๔๖/๒๕๕๐ ของศาลจังหวัดชุมพร
จําเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปงญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยทั้งสองมีว่า
จําเลยทั้งสองร่วมกันกระทําความผิดตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ หรือไม่
เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์พยานโจทก์ซึ่งมีเพียงร้อยตํารวจเอกอุดมชัยหรือวโรตนม์