Page 45 - 2557 เล่ม 1
P. 45
๔๕
ผู้ขับเป็นผู้ใช้มีดสปาต้าเป็นอาวุธฟงนผู้เสียหายโดยจําเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์
ปิดท้ายและนายตาน้อยซึ่งนั่งซ้อนท้ายถืออาวุธปืนมาด้วยนั้น เนื่องจากผู้เสียหาย
บอกให้ตนให้การเช่นนั้นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ตรงกับที่ผู้เสียหายให้การไว้
นายชัยวัฒน์กลัวผู้เสียหาย จึงให้การไปตามนั้น ความจริงแล้วขณะเกิดเหตุ
นายชัยวัฒน์ไม่เห็นหน้าของคนร้ายและไม่เห็นอาวุธปืนนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงขณะ
เกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา และตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ
กับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ก็ไม่มีการบันทึกในเรื่องแสงไฟฟ้ารอบ ๆ
บริเวณที่เกิดเหตุ ทั้งเมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายบ้านเกิดเหตุและบ้านที่อยู่
โดยรอบก็ไม่ปรากฏไฟฟ้าอยู่ในบริเวณใดบ้าง และเมื่อพิจารณาถึงเหตุคดีนี้ส่วนที่
เกี่ยวกับนายชัยวัฒน์นั้นเกิดในระยะเวลาอันรวดเร็วฉุกละหุก และขณะนั้นคนร้าย
ขับรถจักรยานยนต์ตามมาทั้งตอนที่คนร้ายใช้มีดเป็นอาวุธฟงนผู้เสียหายนั้น เกิด
ในขณะนายชัยวัฒน์ขับรถจักรยานยนต์อยู่ ประกอบกับทางนําสืบของโจทก์
ไม่ปรากฏว่านายชัยวัฒน์รู้จักจําเลยทั้งสองกับพวกมาก่อน จึงเชื่อว่าในภาวะวิสัย
เช่นนั้นนายชัยวัฒน์ไม่เห็นและจดจําใบหน้าคนร้ายในคดีนี้จริงดังที่นายชัยวัฒน์
มาเบิกความในชั้นพิจารณา ดังนั้นการที่โจทก์ไม่มีตัวผู้เสียหายมาเบิกความยืนยัน
ว่าจําเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกกระทําความผิดในคดีนี้ แม้จะเนื่องจาก
ต่อมาผู้เสียหายถูกฆ่า แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้ และทางนําสืบของโจทก์
กลับปรากฏว่าผู้เสียหายเองก็มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษและมักจะมี
เรื่องทะเลาะกับผู้อื่นทั้งเคยไปตีกับยิงผู้อื่นด้วย พยานโจทก์จึงมีเพียงคําให้การของ
ผู้เสียหายที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนเท่านั้นที่ยืนยันว่าจําเลย
ทั้งสองร่วมกับพวกกระทําความผิดตามฟ้องอันเป็นพยานบอกเล่า ซึ่งแม้ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๓ มีข้อยกเว้นให้ศาลรับฟงง
พยานบอกเล่าได้ก็ตาม แต่ศาลต้องรับฟงงด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อ
พยานหลักฐานนั้นโดยลําพังเพื่อลงโทษจําเลยทั้งสอง เว้นแต่จะมีเหตุผลหนักแน่น
มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตามมาตรา
๒๒๗/๑ วรรคหนึ่ง ของกฎหมายดังกล่าว แต่จากเหตุผลดังวินิจฉัยมาข้างต้น
จะเห็นได้ว่าพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ล้วนแต่ไม่อาจที่จะมาสนับสนุนว่าจําเลย