Page 1215 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 1215

๑๒๐๓


                 พยานที่โจทก์ประสงค์จะน าเข้าไต่สวนจึงต้องตอบค าซักถามของทนายโจทก์  เมื่อมีการซักถามพยาน

                 เสร็จแล้ว ทนายจ าเลยชอบที่จะถามค้านพยาน และเมื่อได้ถามค้านพยานเสร็จแล้ว  ทนายโจทก์ชอบที่จะ
                       ๗
                 ถามติง   กระบวนพิจารณาดังกล่าวแทบจะไม่แตกต่างกับการสืบพยานในชั้นพิจารณา  ที่ต้องใช้ระยะเวลา
                 ในการด าเนินกระบวนพิจารณาค่อนข้างมาก  ท าให้มีการลดขั้นตอนในช่วงของการซักถามพยานโดยการให้

                 โจทก์ท าค าเบิกความพยานมาล่วงหน้า  หากจ าเลยยินยอมก็ให้ทนายจ าเลยถามค้านพยานโจทก์ไปได้ทันที
                                                                                                       ั
                 ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งก าหนดให้การพิจารณาต้องกระท าต่อหน้าจ าเลยอน
                                                            ื่
                 เป็นหลักการส าคัญประการหนึ่งในคดีอาญา  เพอให้จ าเลยมีโอกาสได้รับรู้รับทราบข้อเท็จจริงใน
                 การพจารณา  และการที่จ าเลยได้เผชิญหน้ากับพยานอาจท าให้พยานไม่กล้าเบิกความปรักปร าใส่ร้าย
                      ิ
                      ๘
                 จ าเลย   ทั้งยังขัดต่อบทบัญญัติเรื่องพยานต้องเบิกความด้วยวาจา  ที่กฎหมายบัญญัติให้พยานทุกคนต้อง
                                                   ่
                 เบิกความด้วยวาจาและห้ามไม่ให้พยานอานข้อความที่เขียนมา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลหรือเป็น
                 พยานผู้เชี่ยวชาญ    จะเห็นได้ว่า  พยานนั้นหมายถึงบุคคลที่มาเล่าเหตุการณ์ที่ตนประสบมาด้วยตนเองให้
                               ๙
                      ั
                                                                    ่
                 ศาลฟงโดยตรงจากความทรงจ าของตนโดยไม่ต้องอาศัยการอานจากเอกสารหรือบันทึกเครื่องหมายใดๆ
                 เพราะหากยอมให้กระท าเช่นนั้นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ปั้นแต่งพยานกันและยากแก่การที่จะจับผิดได้
                                                                                                      ๑๐
                                                     ิ
                 จึงท าให้เกิดประเด็นปัญหาที่ปรากฏในค าพพากษาฎีกาที่ ๕๕๙๘/๒๕๖๐ ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ซึ่งเป็นราษฎร
                                  ้
                  ้
                 ฟองจ าเลยในข้อหาฟองเท็จและเบิกความเท็จ  ในการไต่สวนมูลฟอง  ทนายโจทก์เสนอบันทึกถ้อยค าของ
                                                                       ้
                 พยานโจทก์ให้ศาลใช้เป็นค าเบิกความของพยานโจทก์  โดยทนายจ าเลยยินยอม  แต่เมื่อศาลไต่สวนมูลฟอง
                                                                                                      ้
                 แล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องและมีค าพพากษาลงโทษจ าเลย  จ าเลยจึงอุทธรณ์ค าพิพากษาศาลชั้นต้น
                                                     ิ
                 ในประเด็นที่โจทก์เสนอบันทึกถ้อยค าของพยานโจทก์ให้ศาลใช้เป็นค าเบิกความของพยานโจทก์ว่าเป็น
                          ิ
                 กระบวนพจารณาที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย  ทั้ง ๆ ที่ทนายจ าเลยไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านในขณะที่
                                                              ุ
                 ทนายโจทก์เสนอบันทึกถ้อยค าดังกล่าว   ต่อมาศาลอทธรณ์พพากษายกค าสั่งและค าพพากษาของศาล
                                                                     ิ
                                                                                          ิ
                                                                                   ี
                                                                                               ิ
                 ชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นด าเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องโจทก์และพิจารณามค าสั่งหรือค าพพากษาใหม่
                 ตามรูปคดี  จ าเลยฎีกาค าพิพากษาศาลอุทธรณ์  และศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ฎีกาของจ าเลยที่ว่าการกลับไปไต่
                 สวนมูลฟองใหม่ย่อมเป็นผลเสียจ าเลยและฝ่ายจ าเลยจะเสียเปรียบในการต่อสู้คดี  ศาลฎีกาควรรับฟง
                                                                                                       ั
                         ้
                                                                             ้
                                                                                ุ
                 ข้อเท็จจริงที่ประกฎในชั้นพจารณาและสืบพยานของจ าเลยประกอบค าฟองอทธรณ์แล้วน ามาวินิจฉัยคดีนี้
                                        ิ
                                          ้
                 มากกว่าให้กลับไปไต่สวนมูลฟองนั้น  เห็นว่า การเบิกความเป็นพยานต่อศาลนั้น  ประมวลกฎหมายวิธี
                                ่
                  ิ
                                                                                                  ิ
                 พจารณาความแพง  มาตรา  ๑๑๓  ซึ่งน ามาใช้บังคับในคดีอาญาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณา
                                                                                              ่
                 ความอาญา  มาตรา ๑๕  บัญญัติว่า  พยานทุกคนต้องเบิกความด้วยวาจาและห้ามมิให้พยานอานข้อความ
                 ที่เขียนมา  ซึ่งเห็นได้ว่ากฎหมายประสงค์ให้ศาลและคู่ความฝ่ายอื่นได้มีโอกาสรับฟงค าเบิกความของพยาน
                                                                                    ั

                        ๗  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑๗
                        ๘  ธานี สิงหนาท, คู่มือการศึกษาพยานหลักฐานคดีแพ่งและคดีอาญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพมหานคร :
                 Pholsiam Printing and Publishing (Thailand) Limited Partnership,๒๕๔๘), หน้า ๓๓๐.
                        ๙  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๑๓
                        ๑๐  ธานี สิงหนาท, คู่มือการศึกษาพยานหลักฐาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔, หน้า ๓๖๐.
   1210   1211   1212   1213   1214   1215   1216   1217   1218   1219   1220