Page 1218 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 1218
๑๒๐๖
ั
คู่ความ”จะไม่มีบทบาทในคดีอาญาซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวพนกับประโยชน์สาธารณะหรือรัฐ ความแตกต่างของ
่
คดีทั้งสองประเภทยังมีในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดี โดยในคดีแพงคู่ความมีภาระหน้าที่ในการเสนอ
้
ิ
ิ
หรือกล่าวอางข้อเท็จจริงต่อศาลและท าการพสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น ซึ่งเป็นกระบวนพจารณาแบบกล่าวหา
หรือ “หลักเจรจาหรือหลักกล่าวหา” ในขณะที่ในคดีอาญานั้น ศาลจะต้องเป็นผู้ด าเนินการค้นหา
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานด้วยตนเองโดยไม่สามารถที่จะรอการริเริ่มการด าเนินการในเรื่องดังกล่าวจาก
๑๓
ั
ิ
พนักงานอยการหรือจ าเลย ซึ่งเป็นกระบวนพจารณาแบบไต่สวนหรือ “หลักไต่สวน” หลักกล่าวหาหรือ
ระบบกล่าวหา และหลักไต่สวนหรือระบบไต่สวน ซึ่งเป็นระบบกฎหมายที่มีรายละเอยดเกี่ยวกับ
ี
ิ
วิธึการตรวจสอบ การกลั่นกรอง ตลอดจนการชั่งน้ าหนักพยานหลักฐานต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพสูจน์
ื่
ในทางคดีความโดยมีวัตถุประสงค์เพอใช้เป็นวิธีการค้นหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายทางคดีความ
ิ
่
ิ
ความส าคัญของกฎหมายวิธีพจารณความนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายวิธีพจารณาความแพง กฎหมายวิธี
ิ
ื่
ิ
พจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพจารณาคดีปกครอง หรือกฎหมายวิธีพจารณาความอนๆ ล้วนเป็น
ิ
กฎหมายว่าด้วยการก าหนดวิธีการที่บุคคลภายนอกจะเสนอคดีหรือเรื่องของตนต่อศาลหรือเป็นการก าหนด
ุ
ว่าในระหว่างด าเนินคดีคู่ความจะอางพยานหรือเบิกความได้อย่างไร จะยื่นอทธรณ์ฎีกาได้ในก าหนดเวลา
้
เท่าใด เป็นการก าหนดสิทธิหน้าที่ในการด าเนินคดีระหว่างศาลและคู่ความ รวมทั้งยังเป็นกลไกที่คอย
ควบคุมและตรวจสอบการใช้ดุลพนิจในการพจารณาคดีของศาล นอกจากนี้กฎหมายวิธีพจารณาความยัง
ิ
ิ
ิ
เป็นหลักกฎหมายซึ่งถูกก าหนดขึ้นเพอวางแผนการและควบคุมกระบวนยุติธรรมทางกฎหมาย ซึ่งใน
ื่
สมัยแรกยังไม่มีการแยกกระบวนพจารณาออกเป็นคดีแพงหรือคดีอาญาอย่างชัดเจน ดังนั้น กระบวน
่
ิ
พจารณาคดีแพงและคดีอาญาจึงมีจุดเริ่มต้นบนพนฐานเดียวกัน ต่อมาโดยเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่
ิ
่
ื้
ิ
แตกต่างกันจึงมีการแบ่งแยกกระบวนพจารณาคดีแพงและคดีอาญาออกจากกัน กล่าวคือ กฎหมายวิธี
่
่
พจารณาความแพงมีจุดประสงค์เพอให้สิทธิต่าง ๆ ทางแพงของผู้ทรงสิทธิสามารถบังคับใช้เป็นรูปธรรมได้
ื่
่
ิ
ิ
ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนสิทธิดังกล่าว ส่วนกฎหมายวิธีพจารณาความอาญาจะเป็นกฎหมายที่ก าหนด
วิธีด าเนินการให้ได้ตัวผู้กระท าผิดกฎหมายอาญามาลงโทษ และวางกรอบก าหนดขอบเขตการใช้อานาจรัฐ
ไว้อย่างรัดกุม เพอรักษาความสมดุลของอานาจรัฐในการน าตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษ และสร้าง
ื่
หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้ได้ควบคู่กันไป
๑๔
การที่คดีแพ่งกับคดีอาญามีความแตกต่างกันในสาระส าคัญประการหนึ่งคือ ในคดีแพ่งคู่ความเป็น
ิ
ผู้ก าหนดข้อเท็จจริงที่จะน ามาตีแผ่ในศาลรวมทั้งก าหนดข้อเท็จจริงที่จะต้องพสูจน์กันด้วยพยานหลักฐาน
หลักในการด าเนินคดีแพงจึงเป็น “หลักความตกลง” (Verhand-lungsmaxime) ส่วนในคดีอาญานั้นถือ
่
“หลักการตรวจสอบ” (Untersuchungsgrund-satz) กล่าวคือ ถือว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานและศาล
ที่จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่กล่าวหา และในการนี้เจ้าพนักงานและศาลมีอานาจหน้าที่ค้นหา
๑๓ วรรณชัย บุญบ ารุง, ธนกฤต วรธนัขขากุล, สิริพันธ์ พลรบ, พิมพ์ครั้งที่ ๓, หน้า ๑๑๗.
๑๔ อรรถพล ใหญ่สว่าง, “ระบบไต่สวนกับการด าเนินคดีอาญาในประเทศไทย”รพีพัฒนศักดิ์ ๒๕๖๑, (สิงหาคม
๒๕๖๑): หน้า ๒๗.

