Page 1223 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 1223
๑๒๑๑
ื่
ื่
ด้วยวาจา แต่เพอให้การสืบพยานเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จึงยังคงก าหนดให้พยานนั้นมาศาลเพอให้คู่ความ
๒๓
อื่นซักค้านด้วย
การตกลงกันของคู่ความที่ยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเสนอบันทึกถอยค าแทนการซักถามพยานดังกล่าว
้
เป็นเพยงการก าหนดรูปแบบของกระบวนพจารณาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระของคดีที่ท าให้เกิดข้อ
ี
ิ
้
แพชนะ และศาลยังคงมีบทบาทส าคัญในการควบคุมกระบวนพจารณาและค้นหาข้อเท็จจริงของคดีเพอ
ื่
ิ
วินิจฉัยในประเด็นที่คู่ความพพาทกัน การน าบทบัญญัติเรื่องการเสนอบันทึกถอยค าแทนการซักถามพยาน
้
ิ
ิ
่
ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๒๐/๑ มาใช้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องใน
ั
คดีอาญาจึงไม่ได้ขัดต่อ “หลักการตรวจสอบ” อนเป็นหลักการที่ส าคัญในคดีอาญา และมิใช่เป็นการน า
“หลักความตกลง” ในคดีแพ่งมาใช้ให้เกิดผลกระทบต่อความยุติธรรม เจตนารมณ์ของบทบัญญัติเรื่องการ
ิ
เสนอบันทึกถ้อยค าแทนการซักถามพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๒๐/๑
่
ที่ต้องการลดระยะเวลาในการพจารณาคดี ซึ่งเป็นรูปแบบการด าเนินกระบวนพจารณาคดีแพง เป็นการ
ิ
ิ
่
ิ
ผสมผสานระหว่างกระบวนพจารณาด้วยวาจาและกระบวนพจารณาด้วยเอกสาร มีความสอดคล้องกับ
ิ
ข้อเสนอแนะของผู้เขียนที่ต้องการลดระยะเวลาในการไต่สวนมูลฟองในคดีอาญาให้น้อยลงส าหรับคดีที่
้
พยานต้องเบิกความถึงจ านวนตัวเลขที่ถูกฉ้อโกง หรือคดีที่พยานต้องเบิกความถึงข้อความที่เป็น
การหมิ่นประมาท ซึ่งในปัจจุบันศาลชั้นต้นแต่ละศาลมีคดีดังกล่าวเป็นจ านวนมาก การน าบทบัญญัติเรื่อง
่
การเสนอบันทึกถ้อยค าแทนการซักถามพยาน ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง
มาตรา ๑๒๐/๑ มาใช้ในการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญา เช่น คดีฉ้อโกง หรือคดีหมิ่นประมาท รวมทั้งคดี
อื่น ๆ ที่คู่ความตกลงกนให้มีการเสนอบันทึกถ้อยค าแทนการซักถามพยานได้ ก็จะลดขั้นตอนในการไต่สวน
ั
มูลฟ้องลงโดยไม่ขัดต่อหลักการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักส าคัญในคดีอาญา
ข้อเสนอแนะ
กรณีที่กฎหมายก าหนดให้พยานต้องเบิกความด้วยวาจา เป็นบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย
ิ
วิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๑๓ ซึ่งบัญญัติว่า “พยานทุกคนต้องเบิกความด้วยวาจาและห้ามไม่ให้
่
่
พยานอานข้อความที่เขียนมา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลหรือเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ” จะเห็นได้ว่า
พยานนั้น หมายถึงบุคคลที่มาเล่าเหตุการณ์ที่ตนประสบมาด้วยตนเองให้ศาลฟงโดยตรงจากความทรงจ า
ั
ของตนโดยไม่ต้องอาศัยการอานจากเอกสารหรือบันทึกเครื่องหมายใด ๆ เพราะหากยอมให้ท าเช่นนั้น
่
ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ปั้นแต่งพยานกัน และยากแก่การที่จะจับผิดได้ ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก
ศาลหรือเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบทบัญญัติมาตรานี้อนุโลมไปใช้ในคดีอาญาด้วย ผู้เขียนจึงเห็นว่า
๒๔
การก าหนดให้พยานต้องเบิกความด้วยวาจาตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นหลักการทั่วไปที่ใช้บังคับกับพยาน
๒๓ วรรณชัย บุญบ ารุง และคนอื่น ๆ ,”ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉบับอ้างอิง”(กรุงเทพมหานคร:
ส านักพิมพ์วิญญูชน,๒๕๕๑), หน้า ๓๑๔.
๒๔ ธานี สิงหนาท, คู่มือการศึกษาพยานหลักฐานคดีแพ่งและคดีอาญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔, หน้า ๓๖๐.

