Page 1224 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 1224
๑๒๑๒
่
ที่ต้องมาเบิกความต่อศาลทั้งในคดีแพงและคดีอาญาด้วยเหตุผลเดียวกันคือต้องการให้พยานเล่าเหตุการณ์
ที่ตนประสบมาจากความทรงจ าด้วยตนเองไม่ให้พยานอ่านข้อความจากเอกสารที่เตรียมมา ซึ่งอาจส่งผลให้
ิ
ี
อกฝ่ายเสียเปรียบและส่งผลกระทบต่อความยุติธรรมได้ หากพจารณาจากเจตนารมณ์อย่างแท้จริงแล้วจะ
ื่
พบว่า การบัญญัติหลักการดังกล่าวก็เพอความยุติธรรมนั่นเอง การที่หลักการดังกล่าวไม่ได้บัญญัติอยู่ใน
ิ
ประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญาโดยตรง ย่อมแสดงให้เห็นว่าหลักการดังกล่าวไม่ได้บัญญัติไว้
โดยเฉพาะว่า พยานในคดีอาญาจะต้องเบิกความด้วยวาจาเท่านั้น แต่เป็นการน าบทบัญญัติของกฎหมาย
ิ
ิ
่
วิธีพจารณาความแพงมาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ซึ่งบัญญัติว่า
“วิธีพจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้น าบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย
ิ
วิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้” ผู้เขียนจึงเห็นว่าการน าบทบัญญัติเรื่องการเสนอ
บันทึกถ้อยค าแทนการซักถามพยานซึ่งมีลักษณะที่ขัดต่อหลักการพยานต้องเบิกความด้วยวาจามาใช้ใน
ิ่
คดีอาญาเป็นสิ่งที่สามารถท าได้ และเสนอให้มีการเพมเติมบทบัญญัติเรื่องการเสนอบันทึกถ้อยค าแทนการ
่
ซักถามพยานดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๑๒๐/๑ ไว้ในประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติเรื่องการเสนอบันทึกถ้อยค าแทนการซักถามพยาน ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๑๒๐/๑ ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีค าร้องและคู่ความอก
่
ี
ฝ่ายไม่คัดค้านและศาลเห็นสมควรศาลอาจอนุญาตให้คู่ความฝ่ายที่มีคาร้องเสนอบันทึกถ้อยค าทั้งหมดหรือ
แต่บางส่วนของผู้ที่ตนประสงค์จะอ้างเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยค าต่อศาลแทน
ิ
การซักถามผู้ให้ถ้อยค าเป็นพยานต่อหน้าศาลได้” จะเห็นว่าการด าเนินกระบวนพจารณาดังกล่าวต้อง
เป็นไปโดยความยินยอมของคู่ความ หากมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ิ
ความอาญา การพจารณาว่าจะน าบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้หรือไม่ และใช้ในการสืบพยานในชั้นไต่สวน
มูลฟองหรือชั้นพจารณาในคดีอาญาคดีใด โจทก์และจ าเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีย่อมเป็นผู้มีส่วนร่วม
้
ิ
ในการตัดสินใจว่าจะใช้กระบวนการดังกล่าวหรือไม่ ดังนั้น การน าบทบัญญัติเรื่องการเสนอบันทึกถอยค า
้
แทนการซักถามพยาน ดังเช่นที่บัญญัติไว้ประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๒๐/๑ มาใช้
ิ
่
ในคดีอาญาจึงไม่น่าจะกระทบต่อความยุติธรรม เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพิจารณาข้อดีข้อเสีย และประเมิน
ได้ว่าการใช้กระบวนการดังกล่าวจะท าให้ตนเสียเปรียบหรือไม่ ทั้งผู้เขียนยังเห็นว่าคดีอาญาที่ผู้เขียน
กล่าวถึงในเบื้องต้น เช่น คดีฉ้อโกง ซึ่งเป็นคดีที่ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่จะกล่าวถึงจ านวนเงินที่ถูกฉ้อโกง
โดยพยานต้องเบิกความประกอบเอกสารการโอนเงินซึ่งปรากฎชัดเจนอยู่แล้วว่า พยานโอนเงินจ านวน
เท่าไรเข้าบัญชีใครในวันเวลาใด หรือคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งเป็นคดีที่ข้อเท็จจริงหลักคือ
้
ข้อความที่จ าเลยหมิ่นประมาทพยาน ซึ่งโดยปกติพยานก็ต้องเบิกความถึงข้อความหมิ่นประมาทโดยอางส่ง
เอกสารที่มีข้อความดังกล่าวต่อศาล พยานไม่อาจปั้นแต่งข้อเท็จจริงให้ผิดแผกแตกต่างไปจากเอกสาร
หลักฐานได้ การเบิกความของพยานในคดีลักษณะดังกล่าวเป็นการเบิกความถึงพยานเอกสารเป็นหลัก
ื่
การให้พยานต้องจดจ าจ านวนตัวเลข หรือข้อความที่หมิ่นประมาท เพอมาเบิกความต่อศาลโดยการใช้

