Page 298 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 298
๒๘๕
ิ
แก้ไขเพ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ.๒๕๕๘ แก้ไขหลักเกณฑ์ให้
ุ
ค าพิพากษาหรือค าสั่งของศาลอทธรณ์เป็นที่สุด เว้นแต่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกา โดยคู่ความต้องท า
้
ั
เป็นค าร้องพร้อมกับค าฟองฎีกาไปยังศาลฎีกา อนเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การยื่นฎีกาจากระบบสิทธิ
(Appeal as of Rights) เป็นระบบอนุญาต (Discretionary Appeal) และเป็นการเปลี่ยนความยุติธรรมตาม
่
ิ
หลักกฎหมายและหลักนิติธรรมซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพงที่ให้ประชาชนหรือ
คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ค าพพากษาศาลอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาได้นั้น เป็นให้ค าพิพากษาหรือค าสั่งของศาลอุทธรณ์
ิ
ี
เป็นที่สุด โดยประชาชนหรือคู่วามมีสิทธิแสวงหาความยุติธรรมได้ ๓ ชั้นศาล ก็จะเหลือเพยง ๒ ศาล คือ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เท่านั้น ท าให้เกิดความไม่เสมอภาคในสิทธิที่จะฎีกาคดีของประชาชน
แนวคิดและทฤษฎีในการอุทธรณ์ฎีกา
แนวความคิดในการอุทธรณ์ฎีกาสืบเนื่องมาจาก “หลักความเป็นที่สุดแห่งค าพิพากษา”
ิ
(Res Judicata) ที่ว่า เมื่อมีค าพิพากษาหรือค าสั่งชี้ขาดข้อพพาทแห่งคดีอันเป็นที่ยุติแล้ว คู่ความและประชาชน
ก็ควรที่จะต้องยอมรับนับถือและมีความเคารพในเหตุและผลของค าตัดสิน และค าตัดสินนั้นควรได้รับความ
เลื่อมใสและศรัทธาจากผู้ใช้กฎหมายและประชาชน แต่ในทางธรรมดาสามัญนั้นศาลหรือผู้พพากษาก็ย่อมเป็น
ิ
ปุถุชนธรรมดาที่อาจเกิดความพลั้งเผลอหรือผิดพลาดในการพจารณาพพากษาคดีได้ ไม่ว่าในกรณีเกี่ยวกับการ
ิ
ิ
ฟงข้อเท็จจริง หรือการใช้กฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริง หรือการด าเนินกระบวนพจารณาต่าง ๆ ผลของคดีที่
ั
ิ
เกิดจากการตัดสินที่ผิดพลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายและไม่เป็นธรรมต่อ
คู่ความและสังคม หากไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิที่จะอทธรณ์ฎีกาค าวินิจฉัยที่ผิดพลาด อาจท าให้ประชาชนที่
ุ
หวังจะได้รับความยุติธรรมจากศาลกลับไปใช้วิธีการอื่นเพื่อยุติหรือระงับข้อพิพาทของตนซึ่งอาจเป็นการใช้ก าลัง
รุนแรงและก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้ นอกจากนี้การให้โอกาสประชาชนที่ไม่พอใจ
ค าวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอุทธรณ์ฎีกาต่อศาลที่สูงกว่าเพอเป็นการกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งหรือสองชั้น โดยให้ศาลที่
ื่
สูงกว่าซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าช่วยตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องของศาลล่างยังเป็นการสร้าง
หลักประกันและความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนว่าคดีของตนจะได้รับการวินิจฉัยด้วยความถูกต้อง เที่ยงธรรม
และรอบคอบอกด้วยจึงอาจกล่าวได้ว่า การอทธรณ์ฎีกามีวัตถุประสงค์หลักเพอคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของ
ุ
ื่
ี
ิ
ประชาชนโดยให้ศาลที่สูงกว่าตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดหรือความไม่ถูกต้องในการพจารณาพพากษาคดี
ิ
ิ
ของศาลล่างโดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพอพจารณาคดีนั้นซ้ าใหม่อกครั้งหนึ่งเพราะคดีนั้นได้พจารณาเสร็จสิ้นโดย
ี
ิ
ื่
ค าพิพากษาศาลชั้นต้นอันมีผลบังคับตามกฎหมายแล้ว ๑
ิ
ิ
จากเหตุผลของหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งค าพพากษา (Res Judicata) ถือว่าค าพพากษาน่าจะเป็น
ค าตัดสินที่ดีที่สุดและเป็นข้อยุติได้นี้ ท าให้เห็นกันว่าโดยหลักทั่วไปเมื่อมีค าพพากษาอย่างไรแล้วก็ควรจะยุติได้
ิ
ี
ไม่ควรจะให้มีการอทธรณ์ฎีกาอกต่อไป เว้นแต่เฉพาะกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดจริง ๆ เท่านั้นเพอที่จะท าให้
ื่
ุ
ุ
ิ
ประชาชนเกิดจิตส านึกเคารพต่อค าพพากษา ไม่อทธรณ์ฎีกาอย่างไร้เหตุผลหรืออาศัยอทธรณ์ฎีกาเป็นการ
ุ
ื่
ประวิงคดีเพอหน่วงเหนี่ยวการบังคับคดีให้ช้าลง แต่ค าพพากษาของศาลชั้นต้นอาจมีความบกพร่องหรือ
ิ
ความไม่ถูกต้องได้ จึงควรที่จะมีการตรวจสอบโดยศาลสูงก่อนจึงจะเป็นที่สุด หลักความเป็นที่สุดของ
ค าพพากษา (Res Jud!cata) ปัจจุบันจึงใช้ในลักษณะที่เกี่ยวกับการห้ามด าเนินกระบวนพจารณาซ้ าหรือห้าม
ิ
ิ
ฟ้องซ้ าในคดีที่ศาลได้มีค าพพากษาแล้ว
๒
ิ
______________________
๑
คมกฤช เทียนทัด “แนวทางการพัฒนาระบบการอนุญาตให้ฎีกาในคดีแพ่ง,” เอกสารวิจัย.วิทยาลัยป้องกัน
ราชอาณาจักร ๒๕๖๑ หน้า ๖ – ๘
๒ คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และการต ารวจ วุฒิสภา ส านักงานเลขาธิการวุฒิสภา รายงานการพิจารณา
ศึกษา “กรณีการฎีกาค าพิพากษาหรือค าสั่งของศาลอุทธรณ์จะกระท าได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา,” ๒๕๖๓ หน้า ๒๗