Page 300 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 300
๒๘๗
่
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ (เดิม) แม้ว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๒๔๘
่
(เดิม) จะก าหนดให้คดีแพงที่ราคาทรัพย์สินหรือจ านวนทุนทรัพย์ที่พพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ิ
ั
้
้
และคดีฟองขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อนมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าในขณะยื่นค าฟองไม่เกินเดือนละ
๑๐,๐๐๐ บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง กับประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
ิ
ิ
ุ
และมาตรา ๒๑๙ จะก าหนดให้คดีอาญาที่ศาลอทธรณ์พพากษายืนหรือแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจ าคุก
ไม่เกิน ๕ ปี ตลอดจนคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นพพากษาลงโทษจ าคุกจ าเลยไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท
ิ
และศาลอทธรณ์ยังคงลงโทษจ าเลยไม่เกินก าหนดดังกล่าว ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อนเป็นการ
ั
ุ
ี
ก าหนดข้อห้ามในการฎีกาเพอกลั่นกรองมิให้คดีที่กฎหมายเห็นว่าไม่มีความส าคัญเพยงพอขึ้นสู่การพจารณา
ื่
ิ
ของศาลฎีกา อย่างไรก็ตามข้อห้ามในการฎีกาดังกล่าวเป็นข้อห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น ส่วนปัญหา
ิ
ข้อกฎหมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใน คดีประเภทใดสามารถน าขึ้นสู่การพจารณาของศาลฎีกาได้เสมอ
นอกจากนี้แล้วการก าหนดข้อห้ามในการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง กฎหมายก าหนดความส าคัญจากประเภทคดี
เป็นหลัก เช่นเดียวกับกรณีของข้อห้ามอทธรณ์ในศาลอทธรณ์เมื่อการก าหนดความส าคัญก าหนดจากประเภท
ุ
ุ
ิ
คดีดังนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญหาส าคัญในประเภทคดีที่ต้องห้ามฎีกาสามารถขึ้นสู่การพจารณาของศาลฎีกาได้
จึงได้มีการก าหนดข้อยกเว้นให้น าปัญหาส าคัญในประเภทคดีที่ต้องห้ามฎีกาขึ้นสู่การพจารณาของศาลฎีกาได้
ิ
กล่าวคือในคดีแพ่งถ้า
๑. ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้ง
ิ
ิ
๒. ผู้พพากษาที่ได้นั่งพจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอทธรณ์ได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้
ุ
หรือ
ุ
๓. เมื่อได้รับอนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากประธานศาลอทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ (เดิม)
ส่วนในคดีอาญาถ้า
๑. ผู้พพากษาซึ่งพจารณาหรือลงชื่อในค าพพากษาหรือท าความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือ
ิ
ิ
ิ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาส าคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกา หรือ
ิ
๒. อัยการสูงสุดรับรองว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณา
ความอาญา มาตรา ๒๒๑
จากข้อยกเว้นดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าในการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในประเภทคดีที่ต้องห้าม
ฎีกา กฎหมายให้อ านาจบุคคลที่กฎหมายก าหนดเป็นผู้พจารณาความส าคัญของปัญหาที่ควรขึ้นสู่ศาลฎีกาแทน
ิ
ื่
การก าหนดความส าคัญโดยกฎหมาย เพอลดความเคร่งครัดและเปิดโอกาส ให้ปัญหาที่ส าคัญได้ขึ้นสู่การ
พิจารณาของศาลฎีกาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งการให้อ านาจแก่บุคคลเพื่อรับรองความส าคัญของปัญหาให้ขึ้นสู่การ
ิ
พจารณาของศาลฎีกาดังกล่าว นอกจากจะก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ดุลพนิจในการอนุญาตให้
ิ
ฎีกาของบุคคลดังกล่าวว่า คดีที่ได้รับการอนุญาตหรือรับรองไม่มีความส าคัญอย่างเพยงพอแล้ว ยังก่อให้เกิด
ี
ิ
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเหมาะสมของการให้อานาจแก่บุคคลดังกล่าวว่าเป็นการให้อ านาจแก่ผู้พพากษาในศาล
ิ
ั
ที่มีล าดับต่ ากว่าหรือ ให้อานาจแก่อยการสูงสุดซึ่งมีฐานะเสมือนเป็นคู่ความในคดีเป็นผู้พจารณาว่าคดีมี
ความส าคัญที่ควรขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาหรือไม่ และยังมีผลเท่ากับบุคคลต่างๆเหล่านี้เป็นผู้เพิ่มปริมาณ