Page 301 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 301
๒๘๘
๔
คดีให้แก่ ศาลฎีกาอีกด้วย
ิ
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าวท าให้มีคดีขึ้นสู่การพจารณาพพากษาของศาลฎีกาเป็นจ านวนมาก และ
ิ
ั
ิ
ิ
ิ
คดีค้างพจารณาสะสมเพมขึ้นทุกปีอนเป็นสาเหตุส าคัญที่ท าให้การพจารณาพพากษาคดีของศาลต้องล่าช้า
ิ่
บางคดีต้องใช้เวลานับสิบปีตั้งแต่ฟองคดีในศาลชั้นต้นกว่าศาลฎีกาจะมีคาพิพากษาถึงที่สุด โดยศาลฎีกาประสบ
้
ิ
ิ
ิ
ปัญหาในการมีคดีขึ้นสู่การพจารณาเป็นจ านวนมาก แต่ไม่สามารถพจารณาพพากษาให้แล้วเสร็จไปในเวลา
อันรวดเร็ว ท าให้มีคดีค้างพิจารณาสูงและบางคดีที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากอาจค้างพิจารณาอยู่เป็นเวลานาน
ิ
ิ
หลายปี ซึ่งการที่ประชาชนต้องรอผลค าพพากษาศาลฎีกาเป็นเวลานานท าให้การบังคับคดีตามคาพพากษาต้อง
ล่าช้าก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่คู่ความและผู้เกี่ยวข้อง และถึงแม้จะมีการกลั่นกรองคดีที่จะขึ้นสู่การ
ิ
พจารณาพพากษาของศาลฎีกา โดยในอดีตได้มีการน าเอาระบบฎีกาแบบอนุญาตมาใช้ในการจ ากัดสิทธิฎีกาใน
ิ
่
คดีแพง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๙ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้
ิ
ิ
อานาจหน้าที่ในการพจารณาพพากษาอรรถคดีของศาลฎีกา และหากเห็นว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะ
ิ
ุ
อทธรณ์ต่อศาลฎีกานั้น ไม่เป็นสาระอนควรแก่การพจารณา ศาลฎีกามีอานาจไม่รับคดีไว้พจารณาพพากษาได้
ิ
ั
ิ
ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก าหนด ซึ่งจะเห็นได้ว่านอกจากจะได้บัญญัติถึงอานาจหน้าที่ของศาลฎีกาใน
ิ
การที่จะปฏิเสธไม่รับคดีไว้พิจารณาพพากษาแล้ว ยังเป็นการจ ากัดจ านวนคดีมิให้คดีขึ้นสู่ศาลฎีกา และท าให้คดี
ิ
เสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็วด้วย การที่กฎหมายก าหนดให้อานาจศาลฎีกาในการใช้ดุลยพนิจปฏิเสธไม่รับวินิจฉัย
ข้ออุทธรณ์ หรือฎีกาที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๙
ิ
ื่
ิ
วรรคสอง ดังกล่าวนั้นมีวัตถุประสงค์เพอให้ศาลฎีกาได้ท าหน้าที่พจารณาพพากษาคดีเฉพาะคดีที่มีความส าคัญ
และเป็นการลดปริมาณคดีที่คงค้างอยู่ในศาลฎีกาเป็นจ านวนมากจึงเป็นที่มาที่ต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ดังกล่าว ซึ่งศาลฎีกาได้ออกระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการไม่รับคดีซึ่งข้อกฎหมาย หรือข้อเท็จจริงที่
ิ
ั
ุ
ิ
ิ
อทธรณ์หรือฎีกาจะไม่เป็นสาระอนควรแก่การพจารณาไว้พจารณาพพากษา พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยได้ก าหนด
หลักเกณฑ์ในการไม่รับคดีที่ไม่เป็นสาระอนควรแก่การพจารณาของศาลฎีกาไว้ก็ตาม แต่ก็ยังคงมีคดีที่ไม่เป็น
ั
ิ
สาระอนควรแก่การวินิจฉัยของศาลฎีกาขึ้นสู่ศาลฎีกาเป็นจ านวนมาก ท าให้เกิดความล่าช้าในการพจารณา
ั
ิ
พพากษาคดี และไม่สามารถลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลฎีกาได้ จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไข
ิ
่
ิ่
ิ
เพมเติมประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๘
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยในหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติได้ระบุเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
่
ว่า “โดยที่บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพงในส่วนการฎีกาไม่สามารถกลั่นกรองคดีที่ไม่
ิ
ิ
ี
เป็นสาระอนควรแก่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพยงพอ ท าให้การพจารณาพพากษาคดี
ิ
ั
ของศาลฎีกาเกิดความล่าช้า ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มีต่อระบบศาลยุติธรรม ดังนั้น
เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง
ิ
ทุกฝ่ายได้อย่างแท้จริงและรวดเร็วขึ้น สมควรก าหนดให้ศาลฎีกามีอานาจพจารณาว่าคดีที่ได้ยื่นฎีกาใดสมควร
อนุญาตให้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา จึงจ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
่
ิ่
ซึ่งการแก้ไขเพมเพมเติมประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลง
ิ่
ิ
หลักการฎีกาจากระบบเดิมที่ใช้ระบบสิทธิ ซึ่งเปิดโอกาสให้คู่ความฎีกาได้อย่างกว้างขวาง โดยถือหลักว่าการ
ฎีกาเป็นสิทธิของคู่ความ การห้ามฎีกาเป็นข้อยกเว้น เป็นระบบอนุญาต โดยถือหลักว่าการฎีกาเป็นสิ่ง
ที่กฎหมายห้าม คู่ความจะสามารถฎีกาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โดยก าหนดให้ศาลฎีกามีอานาจ
พจารณาว่าคดีที่ได้ยื่นฎีกาเรื่องใดสมควรอนุญาตให้ขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกา เพอลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลฎีกา
ิ
ื่
____________________
๔ คมกฤช เทียนทัด เรื่องเดิม. หน้า ๓๕